การประชุม ครม.ล่าสุด มีมติอนุมัติงบให้กระทรวงศึกษาธิการ 29,765 ล้านบาท
เช่าแท็บเลตแจกนักเรียนมัธยมปลาย อีก 1.2 ล้านคน
โดยจะผูกพันใช้งบจากงบประมาณปี’69 – 73 ปีละ 5,953 ล้านบาท
โครงการนี้ มายังไง? เหมือนหรือต่างจากโครงการสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไร? มีจุดดี-จุดด้อย อย่างไร?
1. จะมีระบบประมวลผลแบบคลาวด์ มีดิจิทัลคอนเทนต์ และมีอุปกรณ์ฯ ให้เด็ก
ย้อนกลับไปในปีงบประมาณ 2567 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ 482.26 ล้านบาท เพื่อดําเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ทุกที่ทุกเวลา : กิจกรรมพัฒนาระบบนิเวศทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (เป็นรายการปีเดียว ไม่ผูกพันงบประมาณ) โดยมีผลการดําเนินงาน เช่น เช่าใช้ระบบคลาวด์ จ้างที่ปรึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แห่งชาติ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน (NDLP) สําหรับโรงเรียนคุณภาพในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 349 โรงเรียน [ไม่มีการดําเนินการเกี่ยวกับการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอน (อุปกรณ์)]
ต่อมา ในปีงบประมาณ 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับจัดสรรงบประมาณรวมจํานวน 3,395.47 ล้านบาท เพื่อดําเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา ระยะที่ 2 : กิจกรรมจัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 (ผูกพัน 5 ปี) เพื่อดําเนินกิจกรรม ดังนี้ (1) การส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 เช่น การเช่าใช้ระบบประมวลผลแบบคลาวด์ การจัดทํานวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ และ (2) การจัดหาอุปกรณ์ฯ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทําเอกสารร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference: TOR) เพื่อดําเนินกิจกรรมดังกล่าว
มาครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาฯ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดําเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการดําเนินการต่อเนื่องจากโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในส่วนของการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยวิธีการเช่า
โดยขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2573 วงเงินทั้งสิ้น 29,765.25 ล้านบาท
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน 5,953.05 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
และส่วนที่เหลือจำนวน 23,812.20 ล้านบาท ขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 – 2573 ต่อไป (ปีละ 5,953.05 ล้านบาท)
2. ประโยชน์ที่จะได้รับ
กระทรวงศึกษาธิการ รายงานยืนยันในที่ประชุม ครม. ระบุว่า
(1) นักเรียนและครูผู้สอน มีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่สามารถเข้าใช้ NDLP สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลออนไลน์ที่มีคุณภาพ
(2) นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ใหม่ได้อย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและมีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ตลอดจนสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อกับโลกการทํางาน รวมถึงทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
(3) ส่งเสริมสนับสนุนการเปลี่ยนบทบาทครูให้เป็นครูยุคใหม่ โดยปรับบทบาทจาก “ครูสอน” เป็น “โค้ช” หรือ “ผู้อํานวยการการเรียนรู้” ทําหน้าที่กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจแนะนําวิธีเรียนรู้และวิธีจัดระเบียบการสร้างความรู้ รวมทั้งออกแบบกิจกรรม และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ตลอดจนมีเครื่องมือและระบบการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและทันสมัย
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยืนยันว่า ครม.อนุมัติงบประมาณต่อเนื่อง และงบประมาณผูกพันสำหรับการแจกอุปกรณ์เสริมการสอนของนักเรียนและครู เช่น แท็บเลต แล็ปท็อป โน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ในรูปแบบเช่าใช้งาน พร้อมสัญญาณอินเตอร์เนตคุณภาพสูง งบประมาณ 29,765.25 ล้านบาท สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งหมดประมาณ 1.2 ล้านคน
2. ในเว็บไซต์ Policy Watch ไทยพีบีเอส รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์นโยบายนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ใจความบางตอน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ก่อนหน้านี้ นโยบายแจกแท็บเลตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในอดีต
ช่วงสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประสบสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และมีความคิดที่จะแจกแท็บเลต แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการ
ผ่านมา 10 กว่าปี รัฐบาลเพื่อไทยภายในการนำของนายกฯ เศรษฐา ประกาศเดินหน้านโยบายนี้อีกครั้ง ด้วยเป้าหมาย “เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา” และ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ทางการศึกษา ท่ามกลางรายละเอียดที่แตกต่างออกไปจากเดิม
และดำเนินนโยบายต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลแพทองธารในปัจจุบัน
ช่วงหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ชูนโยบาย “Free tablet for all” โครงการ 1 นักเรียน 1 แท็บเลต โครงการ 1 ครู 1 แท็บเลต เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาผ่านออนไลน์เช่นเดียวกัน
สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีชื่อโครงการว่า “โครงการแท็บเลตพีซีเพื่อการศึกษาไทย” หรือ “One Tablet PC per Child (OTPC)”
รัฐบาลเศรษฐามีชื่อว่า “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)”
วัตถุประสงค์เหมือนกัน คือ เชื่อว่าโครงการนี้จะสร้างโอกาสและความเท่าเทียทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ และเข้าถึงข้อมูลเพื่อเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัดสถานที่และเวลา
แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ กลุ่มเป้าหมายของทั้งสองโครงการ โดยสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะแจกให้นักเรียนชั้น ป.1 และชั้น ม.1 และครูผู้สอน
ขณะที่รัฐบาลเศรษฐา จะแจกให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้น ม.4 –ม.6) และครูผู้สอน เพื่อเน้นที่การพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระและประกอบอาชีพได้
นอกจากนี้ ยังพบว่า จำนวนเครื่องลดลง แต่ราคาต่อเครื่องสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม โครงการแจกแท็บเลตต้องเผชิญปัญหาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะโครงการในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เช่น การดำเนินการจัดสรรที่ล่าช้าและไม่ครบถ้วน แท็บเลตในยุคนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงความไม่พร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้งานแท็บเลต เช่น โครงข่ายอินเตอร์เนตของโรงเรียน
ในขณะที่โครงการในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการแจก จึงยังไม่พบข้อจำกัดหรือปัญหามาก
3. ผลดี-ผลเสีย นโยบายแจกแท็บเลตยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
Policy Watch ระบุว่า นโยบายแจกแท็บเลตยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงผลดี ผลเสีย และความคุ้มค่าของโครงการ ตั้งแต่เริ่มการแจกครั้งแรกในปี 2555
ปี 2556 สำนักงานสถิติแห่งชาติได้จัดทำการสำรวจความพึงพอใจเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว โดยทำการสำรวจความคิดเห็นของครูผู้สอนใน 2,854 โรงเรียนที่ได้รับการจัดสรรแท็บเลต ผลการสำรวจ ดังนี้
ผลดี (เรียงตามลำดับ)
มีสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย จูงใจให้อยากเรียนรู้ / สนใจการเรียนมากขึ้น (87.5%)
มีโอกาสเรียนรู้พื้นฐานในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ (83.4%)
ก้าวทันโลกโลกาภิวัตน์ / การเรียนรู้ไม่จํากัดเวลาและสถานที่ (78.9%)
สร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันทางการศึกษา (73.3%)
มีโลกทัศน์กว้างขึ้น (69.5%)
ส่งเสริมการอ่านและการเรียนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น (68.6%)
ช่วยกระตุ้นครูในการสอนให้ดีขึ้น (54.0%)
ภาพรวมในผลดี ครูผู้สอนเชื่อว่าโครงการช่วยนักเรียน ป.1 ในด้านการเรียนรู้ได้จริง จูงใจให้อยากเรียนรู้ เรียนรู้ได้ทุกที่ สร้างโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษ รวมถึงช่วยให้ครูสอนได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การเรียนการสอนโดยตรง เช่น มีพื้นฐานการใช้งานคอมพิวเตอร์ และมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น
ผลเสีย (เรียงตามลำดับ)
มีปัญหาเรื่องสายตา-สุขภาพ ออกกําลังกายน้อยลง (59.4%)
กระทบทักษะการใช้มือเขียนของนักเรียน ป.1 (53.2%)
สร้างภาระให้กับครู / ผู้ปกครองที่ต้องคอยดูแลไม่ให้แท็บเลตเสียหาย (50.8%)
เป็นการปูพื้นฐานให้เด็กคุ้นเคยกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ (45%)
ขาดมนุษยสัมพันธ์ / ลดการเล่นกับเพื่อน ๆ (44.6%)
ทําให้ต้องเสียค่าไฟฟ้าเพิ่ม ในขณะที่งบประมาณด้านนี้ก็มีน้อยอยู่แล้ว (37.1%)
ทําให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว (19.7%)
ภาพรวมในผลเสีย คือ การใช้แท็บเลตกระทบต่อตัวเด็กโดยตรง เช่น สายตาเสีย กระทบการใช้มือเขียน เป็นพื้นฐานให้เด็กคุ้นชินกับการเล่นเกม ขาดมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อน และก้าวร้าว มีกระทบต่อผู้ปกครองและครูในเชิงต้องดูแลเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้อุปกรณ์เสียหาย และภาระค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ จะแจกแท็บเลตสำหรับนักเรียน ม.ปลาย (ไม่ใช่เด็ก ป.1 เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์)
ฝ่ายที่สนับสนุน มองว่า จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลและเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาจริง ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้จริง
ฝ่ายไม่เห็นด้วย มองว่า อาจไม่คุ้มค่า อาจนำงบประมาณไปทำอย่างอื่นดีกว่า เช่น จ้างครูสอนเพิ่ม เป็นการเพิ่มภาระในการดูแลรักษา ไม่มีงบซ่อมแซมถ้าเครื่องมีปัญหา ผู้เรียนอาจไม่ใช้แท็บเลตตามวัตถุประสงค์ ซึ่งจะส่งผลเสียได้
4. หากจะแจก ต้องทำอะไรเพิ่ม?
Policy Watch มองว่า จะต้องบล็อกบางเว็บหรือบางโปรแกรม เช่น เว็บพนันออนไลน์ เกม, มีอินเตอร์เน็ตให้มากับตัวเครื่อง, วางโครงสร้างกับระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มทั้งประเทศ และฟรีไวไฟ, มีระบบบริหารจัดการ คิดมาอย่างรอบคอบ ไม่ให้เหมือนการแจกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์
พร้อมชี้ว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการย้อนดูสิ่งที่ผ่านมาในอดีต เพื่อพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสียและผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้นำไปพิจารณาประกอบเพื่อหาทางป้องกันปัญหา หรือพัฒนานโยบายแจกแท็บเลตให้ดีขึ้นและเกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินงบประมาณที่จะลงทุนต่อไป
5. โดยสรุป ต้องยอมรับว่า เป็นนโยบายที่มีทั้งข้อดี และข้อพึงดูแลแก้ไข
ผู้เกี่ยวข้องควรใส่ใจ และทำให้เกิดความคุ้มค่า
ซึ่งถ้าดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะประหยัดต้นทุนส่วนอื่นไปได้มาก เช่น เสริมแพลตฟอร์มการเรียนกวดวิชาให้เด็กๆ เพิ่มความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ,เสริมแพลตฟอร์มแบบเรียนที่ช่วยให้ลดการซื้อหาหนังสือแบบเรียนลงไปมาก (แต่ยังต้องให้เด็กได้เขียนอ่านสื่อกระดาษด้วย), เสริมช่องทางกิจกรรมสร้างสรรค์ การทำกิจกรรมเสริมทักษะ ช่องทางนำไปใช้ได้จริง เกิดรายได้พิเศษ ฯลฯ
อย่าลืมว่า ต้องใช้เงินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ไปกับเรื่องนี้ ควรทำให้คุ้มค่าที่สุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี