พรุ่งนี้วันที่ 1 กุมภาพันธ์ จะมีการเลือกตั้ง“นายก อบจ.” 47 จังหวัด และเลือก “ส.อบจ.”หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้งประเทศพร้อมกันไปด้วย ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.ในฐานะผู้กำกับดูแลการเลือกตั้ง ยังได้ประกาศให้เงินรางวัลแก่ผู้ชี้เบาะแสการทุจริตการเลือกตั้ง เป็นเงินตั้งแต่ 5หมื่นบาทขึ้นไปจนถึงหลักล้านบาท หากถึงขั้นมีการสั่งเพิกถอนสิทธิ และนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่
การเลือกตั้งครั้งนี้แปลกและแฝงความพิกล แทนที่จะเลือกกันในวันอาทิตย์ กลับมาเลือกกันในวันเสาร์ และเชื่อกันว่าน่าจะทำให้สถิติผู้ออกไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งคราวนี้ลดลง เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งในปี 2563
เนื่องจากผู้มีสิทธิที่ไปทำงานนอกพื้นที่ โดยไม่ได้โยกย้ายทะเบียนบ้าน อาจจะไม่สะดวกที่จะเดินทางกลับไปใช้สิทธิตามภูมิลำเนาเดิม รวมทั้งวันเสาร์ก็ยังเป็นวันทำงานของสถานประกอบการภาคเอกชนบางแห่งด้วย แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะได้ออกประกาศขอความร่วมมือจากนายจ้างสถานประกอบการแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่วันหยุด
ไม่เพียงแต่เท่านั้น การที่กกต.เปลี่ยนวันเลือกตั้งจากวันอาทิตย์มาเป็นวันเสาร์..ยังทำให้คนทั่วไปเกิดข้อกังขากันด้วยว่า อาจจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลซุกเอาไว้ใต้พรม และถึงกับพูดกันเลยเถิดในหมู่“พรรคส้ม”ว่า การกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันเสาร์ ถือว่าเป็น“การโกงก่อนการเลือกตั้ง” นั่นก็เพื่อต้องการจะสกัดกั้นไม่ให้ผู้สมัครจากพรรคประชาชนได้รับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในครั้งนี้
เป้าแห่งการวิพากษ์วิจารณ์พุ่งไปที่พรรคเพื่อไทยโดยตรง เพราะการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นคราวนี้ อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกเพื่อไทยตัวจริง ลงมาลุยช่วยหาเสียเองเหมือนเป็น“แม่ทัพใหญ่” และร่ำลือกันว่าพรรคเพื่อไทยใช้“วิชามาร”ทั้ง“กระแส”และ“กระสุน”เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะในครั้งนี้ ขนาดว่ามวลชนที่ถูกเกณฑ์มาฟังการปราศรัยในทุกจังหวัดที่ทักษิณไปขึ้นเวที ก็ล้วนมี“ค่าสินน้ำใจ”ตอบแทนกันทุกคน เรียกว่าสามารถตั้งเก้าอี้จัดเตรียมไว้รองรับได้ครบจำนวนเป็นการล่วงหน้า ว่าจะมากันกี่พันกี่หมื่นคน
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนวันเลือกตั้งมาเป็นวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์นั้น กกต.ได้ชี้แจงแสดงเหตุผลว่า เนื่องจากวันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็น“วันอาทิตย์ของสัปดาห์สุดท้ายก่อนครบ 45 วัน” ตามที่กฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นกำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน หลังจากผู้บริหารหรือสมาชิกสภาท้องถิ่นดำรงตำแหน่งครบวาระ
ทั้งนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้ตอบข้อซักถามของสส.ฝ่ายค้านในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19ธันวาคมปลายปีที่แล้วว่า “วันอาทิตย์สุดท้ายของระยะเวลา 45 วัน ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ทำให้สุ่มเสี่ยงกับการจัดการเลือกตั้งเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มีหน่วยเลือกตั้งจำนวนมากกว่า 9หมื่นหน่วย อาจมีเหตุให้บางหน่วยไม่สามารถนับคะแนนและรวมคะแนนเสร็จภายในวันเดียว ดังนั้นกกต.จึงได้กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้มั่นใจว่าหากมีเหตุจำเป็นให้การนับคะแนนล่วงเลยไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 2กุมภาพันธ์ การเลือกตั้งก็ยังนับว่าอยู่ในระยะเวลา 45 วันตามที่กฎหมายกำหนด”
ย้อนไปดูการเลือกตั้ง ในปี 2563 ที่คาดกันว่า สถิติผู้ออกมาใช้สิทธิน่าจะมากกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยในปี 2563 กกต.จัดให้มีการเลือกตั้ง
นายก อบจ. และ ส.อบจ. พร้อมกันทั้งประเทศ 76 จังหวัด ในวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563 ถือว่าเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หลังการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม ปี 2557 ปรากฏว่า มีผู้ออกมาใช้สิทธิ 29,274,372 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 46,573,974คน หรือคิดเป็น 62.86 เปอร์เซ็นต์ จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม, การเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.ในวันเสาร์พรุ่งนี้นั้น ยังน่าจับตาด้วยว่า ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น หากผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกอบจ.ในจังหวัดใดก็ตาม ถ้าเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน จะมีปัญหาตามมาหรือไม่ หรืออาจจะต้องเป็น“โมฆะ”และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ รวมทั้งอาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นทั้ง 2 พรรคการเมืองนี้ถูกร้องให้มีการยุบพรรค
นั่นก็เพราะ “ผู้ช่วยหาเสียง”ของพรรคเพื่อไทย คืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร และ“ผู้ช่วยหาเสียง”ของพรรคประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์,ชัยธวัช ตุลาธน และ ช่อ-พรรณิการ์วานิช ล้วนเข้าข่ายว่า เป็น“ผู้ไม่มีสิทธิ”ในการเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในครั้งนี้
สุดท้ายเรื่องก็คงจะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อ“วินิจฉัย” พรรคการเมืองที่นั่งตีขิมอยู่บนกำแพงในเวลานี้ก็คือ พรรคภูมิใจ“สายสีน้ำเงิน”-ที่นอนมาแบบไม่ต้องมีพระนำหน้า !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี