ดูจะเป็นที่ “ชินชา” กันไปแล้วกับปัญหา “ฝุ่น PM2.5” ที่แม้จะพูดถึงกันมาหลายปี จนคำว่า “ฤดูฝุ่น” กลายเป็นคำที่คนไทยคุ้นเคย กล่าวคือ สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝุ่นจะมาเยือนในช่วงฤดูหนาว ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมของทุกปี จากนั้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมไปจนถึงต้นหรือกลางเดือนเมษายนของทุกปี ก็จะเป็นคิวของจังหวัดในภาคเหนือ
เพราะที่ผ่านมา สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงหมั่นดูการแจ้งเตือนระดับความรุนแรง เช่น แพลตฟอร์ม Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ หรือ หรือ AirBKK ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตลอดจนแพลตฟอร์มของภาคเอกชน แล้วระวังตนเองเท่านั้น “ในขณะที่การลดแหล่งกำเนิดฝุ่น..แตะไปทางไหนก็แก้ไม่ได้ง่ายๆ” โดยเฉพาะหากเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ เช่น การเดินทางและขนส่งด้วยรถยนต์ การเผาในภาคเกษตร เมื่อใดที่มีข้อเสนอให้ควบคุมการใช้รถส่วนตัวบ้าง หรือห้ามเผาโดยเด็ดขาดบ้าง มักมีแรงต้านและคำถาม “แล้วจะให้ทำอย่างไร” เกิดขึ้นเสมอ
ที่วงเสวนาหัวข้อ “จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤต PM2.5” ระดมคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้ในประเด็นฝุ่น PM2.5 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2568 ที่เรือนจุฬานฤมิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย สิรินารา คณะแพทยศาสตร์ ได้ย้ำอีกครั้งว่า “ฝุ่น PM2.5 เป็นอันตรายต่อร่างกาย” จากผลการศึกษามากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งพบ “ฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบทั้งแบบฉับพลัน” เช่น ไอแห้งๆ ระคายเคืองตา ผื่นคันขึ้นตามตัว หรือบางคนมีอาการหอบหืดกำเริบ
และ “ผลกระทบแบบเรื้อรัง” เนื่องจากฝุ่น PM2.5 มีขนาดเล็กมาก จึงเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของปอดและผ่านเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ และระยะยาวสามารถกลายเป็นมะเร็งปอดได้ นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 รุนแรง พบจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไปจนถึงความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
“สำหรับในกลุ่มต่างๆ เช่น เด็กเล็ก จะทำให้เด็กเกิดอาการหอบหืดฉับพลันขึ้นมา หรืออาการเลือดกำเดาไหล ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ก็จะมีงานวิจัยมากมาย เช่นว่าอาจทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้ และน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ อันนี้คืองานวิจัยหลายประเทศยืนยันตรงกัน ส่วนในกลุ่มผู้สูงอายุก็จะเป็นผู้ป่วยเฉพาะโรคระบบหายใจ ทำให้หอบหืดกำเริบ แล้วก็มีถุงลมโป่งพอง รวมถึงที่เรากังวลที่สุดตอนนี้คือโรคมะเร็ง” อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย กล่าว
อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย ยังแนะนำด้วยว่า หน้ากากที่ใช้ป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้คือหน้ากากระดับ N95 ขึ้นไป และหน้ากากที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องราคาแพงที่สุด แต่เป็นหน้ากากที่กระชับกับใบหน้าของผู้สวมใส่มากที่สุด ขณะที่ในช่วงฤดูฝุ่นไม่ควรวิ่งกลางแจ้งเพราะระดับการหายใจจะรับฝุ่นเข้าไปเพิ่มขึ้น 15-20 เท่า อนึ่ง มีงานวิจัยที่พบว่า ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีส่วนผสมของโลหะหนักซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในปริมาณค่อนข้างสูง อาทิ สารหนู แคดเมียม โครเมียม จึงควรมีกฎหมายควบคุมด้วย เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยควบคุมเพียงสารตะกั่วเท่านั้น
รศ.ดร.ทรรศนีย์ เจตน์วิทยาชาญ คณะวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ฝุ่นในเขตกรุงเทพฯ พบว่า ร้อยละ 50 เกี่ยวข้องกับการจราจร รองลงมาคือโรงงานอุตสาหกรรม เพราะสารเคมีที่ตรวจวิเคราะห์สามารถบ่งชี้ได้ นอกจากนั้นจะเป็นแหล่งกำเนิดอื่นๆ ร่วม เช่น การเผาในที่โล่ง แต่ไม่ได้เผาในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือฝุ่นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ได้มีแหล่งกำเนิดจากมนุษย์ซึ่งจะควบคุมได้ยาก ดังนั้นที่ภาครัฐพยายามทำคือควบคุมแหล่งกำเนิดที่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ มีตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ในเรื่องการจราจร มีการเปลี่ยนมาตรฐานเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น
“ส่วนในภาคอุตสาหกรรม ในต่างประเทศก็พยายามผลักดันในเรื่องการใช้รายงานค่ามลพิษที่ปล่อยจากแหล่งอุตสาหกรรม เพื่อที่จะติดตามได้ว่าแหล่งกำเนิดนั้นปล่อยมากหรือน้อยแค่ไหน อันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจะช่วย แล้วก็เวลาจะสร้างเขาใช้นโยบายเรื่องของการให้เป็น Green (เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) มากขึ้น” รศ.ดร.ทรรศนีย์ กล่าว
รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน กล่าวว่า ในการพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้ต้องการโทษว่าใครเป็นผู้ร้ายหรือใครต้องมาช่วย เพราะเมื่อปัญหาเกิดขึ้นเราพยายามหาทางแก้ไขให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม คนเรามีวิถีชีวิตแตกต่างกัน อย่างคนที่เป็นเกษตรกรก็จะต้องกระทำการใดๆเพื่อให้มีรายได้ ส่วนคนที่อยู่ในเมืองก็ต้องใช้ชีวิต ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้พอเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและการรับข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งในฐานะที่เป็นอาจารย์คุยกับเด็กก็พบความแตกต่างในการรับรู้ข่าวสาร
“อันนี้เป็นสิ่งที่อยากจะผลักดัน ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพไหนเราได้รับผลกระทบถ้วนทั่ว สิ่งที่อยากจะมุ่งเน้นคือกระบวนการสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูล จะมีข้อมูลที่อาจารย์พยายามจะเปรียบเทียบเรื่องของสถานการณ์ทั้งกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่างจังหวัด สิ่งที่สำคัญที่สุดขอให้ท่านทราบสถานการณ์” รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กล่าว
รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่ง แต่คนที่จะแก้ไขปัญหาควรลงไปในพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจปัญหาจริงๆ ว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นเขามีวิถีอย่างไร ปรับเปลี่ยนอย่างไร และต้องให้เขาดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสะดวกด้วย ไม่ใช่เพียงการไปสั่งห้าม อย่างการสั่งห้ามเผา หากเป็นไปได้เกษตรกรก็ไม่อยากเผาเพราะก็เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ ก็ต้องมีวิธีการหรือแนวทางอื่นให้เขาจัดการ
ส่วนปัญหาฝุ่นที่เกี่ยวกับเรื่องการจราจร ต้องมีการอำนวยความสะดวกเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ต้องมีทางเดินที่สามารถเดินได้จริงๆ ขณะที่ “ฟีดเดอร์ (Feeder)” หรือระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมซอยเล็กหรือถนนสายรองไปจนถึงระบบขนส่งทางรางก็ต้องเพิ่มและเข้าถึงได้สะดวก มีการวางแผนเรื่องผังเมือง ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ในแผนแล้วและเป็นวาระแห่งชาติ แต่จริงๆ ควรจะเป็นวาระแห่งชาติแบบเร่งด่วน
“เรื่องของการเผา แน่นอนเรื่องของเครื่องจักรอย่างที่คณะวิศวะทำ เป็นเครื่องเล็กเข้าไป เครื่องสางใบอ้อย แต่ก็ต้องสงสารคนที่เข้าไปสาง คือมันก็ไม่ใช่ง่ายๆ นะ พอสางเสร็จใบที่ตีเข้ามาสาหัสมาก นั่นหมายถึงอะไร? หมายถึงว่าเราก็ต้องคุยในพื้นที่ว่าเตรียมแปลง คือถ้าสมมุติว่าเตรียมแปลงเล็กนี่เลิกคุยเลยเพราะคันใหญ่ก็เข้าไม่ได้ คือรถมันไม่ใช่ไปทางเดียว มันต้องมีทางที่วิ่งไป ถ้าเป็นแปลงเล็กอาจต้องคิดใหม่ในลักษณะของการวางผังตั้งแต่ตอนปลูกเลย” รศ.ดร.ศิริมา กล่าว
อีกด้านหนึ่ง ในช่วงท้ายของงาน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตว่า “ในขณะที่สังคมตื่นตัว..แต่ภาครัฐยังทำเหมือนเดิม” แม้จะพยากรณ์ได้ล่วงหน้าที่ 7 วัน หรือรู้แล้วว่าฤดูฝุ่นตรงกับช่วงใดของปีก็ตาม “ท้องฟ้าไม่มีเขตจังหวัดหรืออำเภอ..แต่รัฐสั่งการให้จังหวัดหรืออำเภอแยกกันรับผิดชอบ” หรือแต่ละกระทรวงก็รับผิดชอบแยกกันไป
“ยังเห็นรถน้ำออกมาวิ่งพ่นฉีดน้ำไล่ฝุ่นเหมือนเดิมทุกปี ทั้งที่วิชาการก็พูดแล้ว สื่อโซเชียลก็แซวแล้วแซวอีกก็ยังเห็นอยู่ มันคงมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี