การเสียอิสรภาพครั้งที่ ๒ ของชาติเราในปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ นั้น ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงอยู่นานพอสมควร และถึงแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะทรงกู้ชาติได้ในระยะเวลาเพียงแค่ ๗ เดือน โดยการยกทัพเรือจากเมืองจันทบูรเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้นที่พม่าให้สุกี้พระนายกองเป็นแม่ทัพเฝ้ารักษากรุงศรีอยุธยาอยู่จนค่ายของพม่าแตกและสุกี้เสียชีวิตในที่รบ ทำให้ชาติไทยได้อิสรภาพคืนมา แต่ก็ขัดสนจนยากจะบูรณะกรุงศรีอยุธยา จึงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงธนบุรี และเริ่มหาเงินทำนุบำรุงชาติโดยการค้าขายกับต่างชาติอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมา โดยเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์จักรี พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองอย่างเต็มที่ โดยย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ฝั่งพระนครและตั้งชื่อเมืองหลวงใหม่แห่งนี้ว่า กรุงเทพมหานครฯ
การค้าขายกับต่างชาติเริ่มกลับมาฟื้นฟูใหม่โดยเฉพาะกับประเทศจีน และก็ขยายไปยังประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ฮอลันดา โปรตุเกส สเปน เปอร์เซีย ฝรั่งเศส อินเดียจึงทำให้ฐานะของชาติกลับมาดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้พอเพียงกับรายจ่าย อีกทั้งยังต้องเตรียมกองทัพไว้ในการศึกทั้งกับพม่าและเขมรอีกด้วย
จนถึงสมัยของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งพระองค์ได้มอบให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นผู้ทรงกำกับราชการกรมท่ากรมพระคลังมหาสมบัติรวมทั้งกรมตำรวจด้วยนั้น ได้ทรงริเริ่มค้าสำเภาด้วยสำเภาหลวง โดยพระองค์เองก็มีสำเภาส่วนพระองค์ และได้ชักชวนเจ้านายกับขุนนางต่างๆ มาค้าสำเภาด้วย มีหลักฐานปรากฏว่าเมื่อปีพ.ศ ๒๓๖๔ ชาติไทยมีเรือที่ค้าขายกับจีนถึง ๘๒ ลำ และที่ค้ากับประเทศอื่นๆ อีก ๕๐ ลำ เงินกำไรที่ได้จากการค้าส่วนพระองค์ได้นำทูลเกล้าถวายในหลวงรัชกาลที่ ๒ พระราชบิดา เพื่อทรงใช้สอยในราชการแผ่นดิน จนพระราชบิดาเรียกขานพระนามว่า “เจ้าสัว” เงินจากการค้าและที่เหลือจากทูลเกล้าถวาย พระองค์ทรงใช้ในราชการอื่นๆ บำเพ็ญกุศลต่างๆ ที่เหลือเก็บเข้าถุงแดง
เงินที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา โดยมีพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สะสมไว้นั้น ถือว่าเป็นเงินส่วนพระองค์ที่ทรงเก็บหอมรอมริบจากการค้าขาย โดยส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเป็นเงินเหรียญ โดยเฉพาะเหรียญเม็กซิโกซึ่งเป็นเหรียญทองคำ โดยจะเก็บใส่ไว้ในถุงผ้าสีแดงและวางไว้ข้างพระแท่นบรรทมจึงเรียกว่าเงินข้างที่ ต่อมาเมื่อมีเงินจำนวนมากขึ้นจึงเก็บไว้ในห้องข้างๆ ที่บรรทม จึงเรียกว่าคลังข้างที่คำนี้จึงถูกใช้ต่อมาเรื่อยๆ จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงใช้เรียกอย่างเป็นทางการ และพระองค์ทรงตั้งกรมที่รับผิดชอบเงินนี้เรียกว่ากรมพระคลังข้างที่
เงินที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเก็บหอมรอมริบสะสมไว้นี้ มีผู้กล่าวกันว่าเพราะพระองค์ทรงมีพระวิสัยทัศน์ไว้ตั้งแต่ครั้งกับโน้นว่า “เงินนี้ลูกหลานจะได้เก็บไว้ใช้กู้บ้านกู้เมือง” ซึ่งต่อมาได้ปรากฏเป็นความจริงว่าได้ใช้แก้ปัญหาเป็นเงินชดใช้ให้แก่ฝรั่งเศสเมื่อรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๓๖ ในสมัยที่ชาติไทยหรือที่เรียกกันว่าสยามในยุคนั้นเป็นเหยื่อของลัทธิล่าอาณานิคม ได้นำเงินมาใช้หนี้จนสามารถธำรงเอกราชมาได้จนถึงปัจจุบัน
ในเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ นั้น พื้นที่ของไทยถูกฝรั่งเศสยึดครองอยู่เป็นเวลาถึง ๑๑๒ โดยได้เข้ายึดจันทบูรไว้ก่อน แล้วจึงยกกองเรือมาเพื่อปิดปากอ่าวไทย ได้มีบันทึกในหนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศส ที่เก็บไว้ในบ้านของ นาย ม.ปาวี ผู้มีบทบาทร้ายและทำให้ไทยต้องเสียดินแดนและค่าปรับจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นค่าไถ่ในการที่จะได้ดินแดนกลับคืนมา โดยเขียนไว้ว่า “ในที่สุดจันทบูรก็อยู่ในเงื้อมมือของพวกเราภายใต้การดูแลของปืนใหญ่ของเราและเรือลูแตงของเราอย่างสง่างาม ข้าหลวงใหญ่จากราชสำนักสยามถูกแต่งตั้งโดยตรงจากในหลวงได้เดินทางจากกรุงเทพฯมายังเรา เพื่อให้ความร่วมมือและให้ความสะดวกในการส่งมอบจันทบูรให้อยู่ในอำนาจของเราอย่างไม่มีเงื่อนไขอีกต่อไป”
การบุกของฝรั่งเศสในครั้งนั้นใช้นายทหารฝรั่งเศส ๕๐ นาย นายทหารญวน ๑๕๐ นาย และผู้เชี่ยวชาญทางปืนใหญ่ของฝรั่งเศสอีกเพียง ๔-๕ นายก็สามารถคุมอำนาจของสยามไว้ได้
ในการปะทะกันระหว่างกองเรือฝรั่งเศสกับไทยนั้น ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย เนื่องจากแสนยานุภาพของฝรั่งเศสมีมากกว่า ทำให้ไทยต้องตัดสินใจสงบศึกโดยยอมเสียเงินค่าปรับค่าชดใช้ความเสียหายที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง เป็นจำนวนถึง ๓ ล้านฟรังก์ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาลในยุคนั้น โดยหากไทยไม่ชำระภายใน ๔๘ ชั่วโมง กองเรือฝรั่งเศสจะปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาและเข้ายึดกรุงเทพฯ โดยจะระดมยิงกระสุนจากปืนใหญ่บนเรือรบเข้าไปยังพระที่นั่งจักรีอย่างไม่ปรานีอีกต่อไป ทำให้ไทยต้องยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องโดยการจ่ายเงินค่าไถ่จำนวนดังกล่าว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงทราบว่าในท้องพระคลังมีเงินที่เก็บไว้ในถุงแดงจำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าจะมากพอที่จะทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ยุติลง และไทยยังรักษาอิสรภาพไว้ได้ จึงตัดสินพระทัยที่จะนำเงินถุงแดงทั้งหมดที่เมื่อคิดเป็นเงินฟรังก์แล้วมีค่าประมาณ ๒ ล้าน ๕ แสนฟรังก์ และได้รับเงินช่วยเหลือจากราชวงศ์และข้าราชบริพารจนครบ ๓ ล้านฟรังก์ตามที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง ซึ่งแต่เดิมนั้นฝรั่งเศสไม่คิดว่าไทยจะทำได้
วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นวันที่เรือรบลูแตงของฝรั่งเศสได้บรรทุก ทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของพระเจ้ากรุงสยามเดินทางกลับไปยังเวียดนามที่เป็นที่ตั้งของฐานทัพใหญ่ของฝรั่งเศส ในช่วงเวลานั้นเล่ากันว่าเมื่อเอาเงินออกมาจากที่เก็บเพื่อจะนับ กองเงินสูงเป็นภูเขาเลากา และการที่จะนับทีละเหรียญจึงเป็นเรื่องที่จะสำเร็จได้ยาก จึงเปลี่ยนไปใช้วิธีชั่งตวงวัดเพื่อวัดน้ำหนักของเงินและเปรียบกับคุณค่าที่มีอยู่ และพบว่าเงินนั้นมีจำนวนครบถ้วน
ด้วยเงินถุงแดงที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงสะสมไว้จากการทำการค้าขายส่วนพระองค์ ซึ่งในที่สุดเงินส่วนนี้ถูกนำเข้ามาเป็นเงินของหลวงจึงเป็นเงินที่สามารถนำมาใช้กู้ชาติได้จริงตามที่พระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์ และได้บอกกับผู้อื่นไว้
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยของเรายังคงมีเงินที่เรียกว่าเงินคงคลัง ซึ่งถูกเก็บรักษา ไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นเงินรายได้เหลือจ่ายสะสมจากการดำเนินงานของรัฐ ซึ่งเปรียบเสมือนเงินออมของประเทศจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐสูงกว่ารายจ่าย ปัจจัยที่ทำให้เงินคงคลังลดลงก็คือรัฐนำเงินส่วนนี้ออกมาใช้มากเกินไป และยังอาจเกิดจากการที่รัฐกู้เงินจำนวนมาก และอาจจะต้องชดใช้จากเงินคงคลัง
ยังมีเงินอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นทรัพย์สินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยถือไว้ในรูปของเงินตราต่างประเทศ ทองคำหรือสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินตราต่างประเทศได้ทันที เพื่อสร้างความมั่นใจ และรักษาเสถียรภาพค่าเงินของประเทศไว้ให้ได้
ขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เริ่มดำเนินการตามที่หาเสียงไว้ ในเรื่องของการแจกเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทให้กับประชาชน รวมทั้งสิ้นประมาณ ๔๕ ล้านคน ซึ่งจะต้องใช้เงินถึง๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และได้จ่ายไปแล้ว ๒ งวดให้ผู้พิการและผู้ที่อายุเกิน ๖๐ ปี เป็นเงินรวมใกล้ๆ ๒ แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะจ่ายได้ภายในต้นเดือนเมษายนนี้ โดยการป่าวประกาศของอดีตนายกที่ทุจริตต่อบ้านเมือง โดยการตัดสินของศาลและตัวเองก็ยอมรับ บนเวทีหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. โดยจะจ่ายในรูปแบบเงินดิจิทัล
ถามว่าเงินที่เอามาแจกนั้นมาจากไหนก็ตอบได้ว่ามาจากธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ งบประมาณของรัฐบาล และอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่า ในส่วนที่มาจากธนาคารก็ต้องเป็นการกู้มา ภาระหนี้ก็ตกอยู่กับรัฐบาล การที่รัฐบอกว่าการแจกเงินจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินที่แจก ๓-๔ รอบ และเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจได้ตั้งแต่รอบแรกนั้นก็ไม่จริงเพราะไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ให้เห็นเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเงินหลวงที่ควรนำมาใช้ในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอันเป็นประโยชน์ต่อชาติในระยะยาวต้องหายไปหมดเหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
สิ่งที่ได้มามีเพียงอย่างเดียวคือพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเพิ่มเติมจากชาวบ้านบางส่วน โดยใช้เงินหลวงซึ่งเป็นเงินของชาติมาใช้หาเสียง มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วหรือ
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี