ในต้นปีของทุกปี ประเทศไทยมีวันเด็กแห่งชาติ และวันครูแห่งชาติ ซึ่งก็จะมีการเฉลิมฉลองกันไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น การจัดนิทรรศการให้กับเด็กและเยาวชน การจัดพิธีการไหว้ครูเพื่อรำลึกถึงและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งพวกเราชาวไทยแต่ละคนก็จะใช้โอกาสนี้รำลึกทบทวนถึงชีวิตในวัยเด็ก และระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ให้ความรู้และอบรมบ่มเพาะพวกเราให้เป็นคนดีในสังคม รวมทั้งคำเทศนาสั่งสอนของพระ และนักบวชในศาสนาต่างๆ
ความทรงจำของพวกเราก็มักจะระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่เรารักเคารพนับถือ ด้วยความเมตตาโอบอ้อมอารี และวิชาความรู้ที่พวกท่านได้ถ่ายทอดให้กับพวกเรา ดังนั้น พิธีการไหว้ครู จึงถือเป็นการสะท้อนถึงคุณค่าและความสำคัญของครูบาอาจารย์ รวมทั้งความระลึกในบุญคุณของครูบาอาจารย์ต่อลูกศิษย์ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราเติบใหญ่ พวกเราลูกศิษย์ก็ยังแสดงความรัก ความผูกพัน ความสำนึกในบุญคุณ ด้วยการสอบถามความทุกข์สุข และร่วมกันช่วยเหลือดูแล และเชิญชวนครูบาอาจารย์มาร่วมงานชุมนุมสังสรรค์ หากครูบาอาจารย์เป็นนักบวช นักบุญ เราก็มักจะนัดกันไปร่วมพิธีทางศาสนา เพื่อแสดงความรักและขอบพระคุณ
นอกจากนั้น ครูบาอาจารย์บางท่านมีวิธีการฝึกสอนที่เรายังสามารถจดจำได้จนทุกวันนี้ เพราะเรามีความเข้าใจ และรู้สึกสนุกสนานกับการฝึกสอน
ในกรณีหนึ่ง เป็นเรื่องความสำคัญที่งดงามระหว่างภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งกับเยาวชนคนหนึ่งที่เคยติดตามพ่อแม่ไปทำบุญและฟังธรรมเทศนาสั่งสอนกับพระภิกษุเหล่านี้ กาลเวลาก็ได้ผ่านไปโดยพ่อแม่ไม่ทราบว่าเยาวชนคนนี้ยังหวนกลับไปเยี่ยมเยียนพบปะกับภิกษุสงฆ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการไปเยี่ยมเยียนที่โรงพยาบาลในยามที่ภิกษุสงฆ์เจ็บป่วย และความผูกพันนี้คงมีสาเหตุจากการที่พ่อแม่เคยไปปรับทุกข์กับภิกษุสงฆ์ดังกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมทางอารมณ์ และความนึกคิดว่า ลูกของตนนั้นเป็นเยาวชนเชิงหัวแข็ง หัวดื้อ และมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก ซึ่งแทนที่พระภิกษุสงฆ์จะเทศนาสั่งสอนในเชิงดุว่า ท่านกลับอธิบายเชิงให้ความคิดว่า ความเป็นตัวของตัวเองนั้นก็เสมือนกับต้นไม้ยืนต้นที่เมื่อตัดเป็น 2 ท่อนแล้ว จะเห็นว่าเนื้อในนั้นมีวงรอบ ยิ่งมากวงรอบก็เสมือนกับการเพิ่มความยาวนานของชีวิต และวงรอบที่มากขึ้นนั้นเป็นเสมือนการเพิ่มความแข็งแกร่ง และภูมิต้านทาน ซึ่งคำอรรถาธิบายนี้คงสร้างความประทับใจให้กับเยาวชนคนดังกล่าว และในขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมสร้างการมีสติ และปัญญาของพ่อแม่ไปด้วย
อีกกรณีหนึ่ง หลายสิบปีมาแล้วที่ประเทศเมียนมา (พม่า) ฝ่ายกองทัพได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจและมุ่งใช้นโยบายชาตินิยม ไม่ยอมรับความเป็นพลเมืองเมียนมาของคนจีน คนอินเดีย และคนมุสลิม ซึ่งเป็นการกีดกัน ยกเลิกความเป็นพลเมือง และกดดันในเรื่องการทำงานทำการให้กับภาครัฐ ไปจนถึงการทำอาชีพธุรกิจ จนบุคคลเหล่านี้จำใจต้องโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งก็มีเด็กนักเรียนชาวเมียนมา (พม่า) จากชนกลุ่มน้อยดังกล่าวที่เมื่อไปศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย ก็ไม่สามารถกลับสู่ประเทศเมียนมาได้ ซึ่งยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ในการนี้นักบวชบาทหลวงนิกายคาทอลิกได้ช่วยเหลือโดยการให้กลุ่มนักศึกษาเมียนมาทั้งหมดเรียนหนังสือต่อ และพำนักอาศัยอยู่ที่โรงเรียน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ จนกว่าทางบิดามารดาสามารถจัดการให้ครอบครัวทั้งหมดโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศได้ ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความเมตตากรุณาปรานีีของบาทหลวงที่มีให้แก่เด็กชาวเมียนมาเหล่านี้แม้จะมิได้มีผู้ใดนับถือคริสต์ศาสนาแต่อย่างใด ถือเป็นความงดงามในความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ ซึ่งเมื่อเด็กเยาวชนเหล่านี้เติบใหญ่ ก็มิได้ลืมเลือนในบุญคุณ และได้กลับมาร่วมกันให้ความสนับสนุนช่วยเหลือโรงเรียนและกิจการด้านสังคมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ในโลกกว้างคงมีความสัมพันธ์ที่งดงามอยู่มากมาย แต่ในขณะเดียวกันโลกก็ได้เห็นความเห็นแก่ตัว ความคิดอ่านแบบสุดโต่ง และการเป็นคู่อริเผชิญหน้าประหัตประหารกันให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ หากชาวโลกทุกคนจะได้ตั้งสติคิดถึงความดีความงามและคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ได้บ้าง สังคมโลกก็คงจะลดอุณหภูมิทั้งในจิตใจและในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติกันได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี