ปีนี้ เป็นปีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีนครบ 50 ปี
อีกด้านหนึ่ง เป็นปีที่การเมืองในสหรัฐเปลี่ยนอำนาจมาสู่มือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบายทำสงครามการค้ากับจีน
ดังนั้น เชื่อแน่ว่า สหรัฐจะทำทุกวิถีทางเพื่อกดดัน ขัดขวาง บงการ สะกัดกั้นความร่วมมือใดๆ ที่ไทยมีกับจีน เพื่อปิดล้อมอิทธิพลอำนาจของจีน
ประเด็นสำคัญ คือ รัฐบาลไทย จะต้องเตรียมรับมือกับการกดดัน เบ่งกล้ามของสหรัฐอเมริกา ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
1. เมื่อวานนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ และคณะ ออกเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ภารกิจเดินหน้าสานสัมพันธ์ผลักดันการแก้ปัญหาในทุกมิติกับจีน
เตรียมลงนามข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง โดยปธน.สี จิ้นผิง เชิญนายกฯไทย บินต่อเมืองฮาร์บิน ร่วมเปิดงานและให้กำลังใจนักกีฬาไทยใน “เอเชี่ยนเกมส์ ฤดูหนาว” อีกด้วย
กำหนดการสำคัญ อาทิ
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ นายกฯ ไทย มีกำหนดการเข้าพบหารือกับนายสี จิ้นผิง (H.E. Xi Jinping) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายจ้าว เล่อจี้ (H.E. Mr. Zhao Leji) ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือในทุกมิติหลังจากนั้น นายกฯไทย จะเดินทางเพื่อไปวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์วีรชน จัตุรัสเทียนอันเหมิน
ช่วงบ่าย นายกฯไทย จะเข้าร่วมพิธีตรวจแถวสวนสนามภายในศาลามหาประชาชน และเข้าพบปะหารือร่วมกับนายหลี่ เฉียง (H.E. Mr. Li Qiang) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
และคณะ
จากนั้น นายกฯ จะเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงต่างๆ ระหว่างไทย - จีน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และข้อตกลงต่างๆ ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศที่ได้บรรลุข้อตกลงระหว่างกัน โดยจะมีทั้งในส่วนของกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดีอี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมหารือในทุกมิติระหว่างกัน
ช่วงค่ำ รัฐบาลจีน โดยนายกรัฐมนตรีจีนและคณะผู้บริหาร ได้จัดงานเลี้ยงรับรองนายกรัฐมนตรีและคณะ
จากนั้น ในวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ นายกฯไทยจะออกเดินทางจากกรุงปักกิ่งไปยังนครฮาร์บินร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่รัฐบาลจีนจัดขึ้นเพื่อต้อนรับผู้นำแต่ละประเทศ โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นเจ้าภาพ และเชิญนายกฯไทยเข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 อย่างเป็นทางการ
เรียกว่า ครั้งนี้ จัดเต็มมาก
2. สหรัฐคงจะต้องหาทางสกัดอิทธิพลอำนาจและความร่วมมือใดๆ ระหว่างไทยกับจีน
ดังที่กระทำกับประเทศอื่นๆ
ดังที่เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งจะกดดันจนปานามา ยอมแสดงท่าทีจะไม่ต่ออายุโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง BRI ของจีน ตามความต้องการและการกดดันของสหรัฐ
โดยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) บอกว่า ยินดีต่อการตัดสินใจของผู้นำปานามาที่จะถอนตัวออกจากโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน BRI ด้วยการ
ไม่ต่ออายุข้อตกลงหลังหมดอายุ ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐ
สหรัฐมียุทธศาสตร์มุ่งอินโดแปซิฟิก และต้องการปิดล้อมจีน
เพราะฉะนั้น ย่อมมีความต้องการขัดขวางจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนด้วยอย่างแน่นอน
แต่จะสำเร็จหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทย
ซึ่งถ้ารัฐบาลไทยยอมตามสหรัฐ ก็จะสร้างความเสียหายมหาศาลต่อประเทศชาติ
แน่นอนว่า รัฐบาลไทยเลือกแล้วว่าจะเดินหน้าต่อไป สานต่อโครงการสมัยรัฐบาลลุงตู่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง 100% เป็นประโยชน์กับประเทศชาติไทยส่วนรวม
ล่าสุด ก่อนเดินทางไปจีน ครม.เพิ่งอนุมัติรถไฟความเร็วสูงความร่วมมือไทย-จีน เฟส 2 ช่วงโคราช-หนองคาย 357 กม. มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท
เป็นการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีน ว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ อันเกิดขึ้นหลังวันที่ 4 กันยายน ปี 2017 ระหว่างการประชุมสุดยอดเซียะเหมิน BRICS ที่มีประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีไทยในเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมกันเป็นสักขีพยาน
เชื่อว่า แม้สหรัฐจะไม่สามารถล้มโครงการความร่วมมือไทย-จีน ในปีความสัมพันธ์ไทย-จีนเหนียวแน่นครบรอบ 50 ปีอย่างแน่นอน
แต่สหรัฐจะต้องงัดมาตรการ กลยุทธ์บางประการ เพื่อกดดันหาผลประโยชน์ของตนเองจากประเทศไทยแน่นอน
รัฐบาลไทยจะต้องเตรียมรับมือให้ดี
3. คณะรัฐบาลไทยเดินทางไปจีนครั้งนี้ จะเห็นว่ามีวาระข้อตกลงร่วมหลายประการ เป็นเรื่องสำคัญๆ ทั้งสิ้น อาทิ การหารือปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การขับเคลื่อนรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน การเปิดทางสะดวกให้การส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีน ความร่วมมือด้านพลังงาน ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ฯลฯ
ดูจากการประชุมครม.ล่าสุด ได้ไฟเขียวให้คณะรัฐบาลไทย ไปลงนามกับฝ่ายจีนหลายเรื่อง อาทิ
3.1 ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แห่งราชอาณาจักรไทย และคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ด้าน AI ในสาขาต่างๆ อาทิ (1) โครงสร้างพื้นฐาน AI (2) เทคโนโลยี AI (3) การส่งเสริมประสิทธิภาพผ่านการใช้ AI ในระดับแอปพลิเคชั่น (Empowering through AI Applications) (4) การรับมือความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (AI Security Risks) และ (5) การเพิ่มองค์ความรู้ด้าน AI ของประชาชน
จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้านปัญญาประดิษฐ์อย่างครอบคลุม ผ่านการดำเนินกิจกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดร่วมกัน ตลอดจนการจัดการฝึกอบรมและสัมมนา และการร่วมมือกัน
ทั้งในเชิงนโยบายและเชิงเทคนิคเพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์อย่างครอบคลุม รวมถึงเสริมความรู้ความเข้าใจการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้อย่างถูกหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของทั้งสองประเทศอย่างมั่นคงและปลอดภัย
3.2 ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนด้านการพัฒนาสีเขียวระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างสองประเทศในด้านการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด การผลักดันให้เกิดการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว รวมถึงส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการแสวงหาการสนับสนุนทางการเงินและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เพื่อเร่งไปสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนร่วมกันในอนาคต
3.3 ลงนามในพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ กักกันโรค และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ของผลิตภัณฑ์ประมงที่มาจากการเพาะเลี้ยงส่งออกมายังสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ร่างพิธีสารฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามโดยคู่ภาคี และจะมีผลบังคับใช้ต่อไปเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยจะได้รับการขยายเวลาอัตโนมัติทุก 5 ปี
3.4 ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
สนับสนุนความร่วมมือด้านการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) และการประยุกต์ใช้ AI แบบบูรณาการระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีขั้นสูงของทั้งสองประเทศ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและพัฒนานักวิจัย
สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ในการมุ่งพัฒนากำลังคนและเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศบนฐานของ AI เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้ง
สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. 2565-2569 ตั้งแต่ยุคลุงตู่)
3.5 ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับหน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีน 2 ฉบับ ได้แก่
(1) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เกี่ยวกับอุปกรณ์สำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ไทย - จีน ภายใต้พันธกิจอวกาศยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ หมายเลข 7
(2) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับองค์การพลังงานปรมาณูแห่งชาติจีนว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ
จะส่งผลให้ไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้ รวมทั้งเกิดการพัฒนาขีดความสามารถด้านวิจัยและพัฒนากำลังคนในสาขาที่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. 2565-2569 ตั้งแต่ยุคลุงตู่)
3.6 ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการส่งเสริมด้านการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายด้านดิจิทัลภายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งส่งเสริมให้ธุรกิจมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล พัฒนาเครือข่าย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมอย่างชาญฉลาด ตลอดจนการแลกเปลี่ยนเพื่อเสริมสร้างความสอดคล้องระหว่างยุทธศาสตร์ นโยบาย กฎระเบียบข้อบังคับ และมาตรฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งสองฝ่ายและเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ คลังสินค้าอัจฉริยะ การแสดงสินค้าทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะดิจิทัลและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระหว่างหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และภาคธุรกิจ เพื่อร่วมกันสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและพัฒนา
เสริมสร้างโอกาสให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพิ่มขึ้นจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติที่มีมูลค่าการลงทุนสูงในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยปี 2561 - 2567 มีมูลค่าการออกบัตร การส่งเสริมการลงทุน เป็นมูลค่ารวม 289,951 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มผู้ประกอบการ
เป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตของผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
3.7 ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริการไปรษณีย์ ระหว่างกระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและการไปรษณีย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือการแลกเปลี่ยนด้านไปรษณีย์ และการพัฒนาบริการไปรษณีย์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ ผ่านการจัดให้มีโครงการแลกเปลี่ยนทางไปรษณีย์ระหว่างสองประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญระหว่างกัน
สรุป การที่ไทยจะสานสัมพันธ์กับจีน ถูกต้องแล้ว สมควรดำเนินการต่อไป และไทยควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพื่อเตรียมรับมือจากการยุแหย่ กดดัน ขัดขวางจากมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลไทยจะต้องเตรียมรับมือให้ดี
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี