การนำ “ธรรม การตื่นรู้ มาใช้พัฒนาชีวิต และการทำงานของเรา”
การศึกษาเรียนรู้ ปฏิบัติ ตาม หลักพุทธศาสนา :ต้องยึดความเป็นจริง
๑. หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงค้นพบความจริงของชีวิต
๒. เราสามารถนำหลักธรรมฯ มาปฏิบัติแล้ว บรรลุธรรมขั้นหนึ่ง คือ การนำหลักธรรม มาปฏิบัติใช้ได้กับตนเอง
l หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นมายาวนาน
และมีการมาสังคายนา มาหลายครั้ง ในศาสนาพุทธ สังคายนา (บาลี : สํคายนา) คือ
-การประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า วางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกันรวบรวมไว้เป็นหลัก และทรงจำถ่ายทอดสืบมาเป็นอย่างเดียวกัน
จึงไม่ง่าย ในการศึกษา ปฏิบัติ
เนื่องจากมีเรื่องของวัตถุ เรื่องของความเชื่อ เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์เหนือโลก มาผสมปนเปกันในสังคมปัจจุบันและอีกส่วนหนึ่งเนื่องจาก มีคำสอนเรื่องเดียวกัน ที่หลากหลาย : จากบางนิกาย และคำเรียกที่ต่างกันของพระผู้ใหญ่
มาดูตัวอย่าง :-
1.การศึกษาเรียนรู้และเข้าใจ “ธรรม” การตื่นรู้ : ต้องจับหลักแก่นกลางของธรรมหัวใจพุทธศาสนา
๑.พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักการที่เรียกกันว่า “หัวใจพระพุทธศาสนา” (โอวาทปาฏิโมกข์)
“สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ”
“การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การทำความดีให้เพรียบพร้อม การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
๒. การตรัสรู้อริยสัจสี่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า อริยสัจสี่จึงเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา หลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
รู้ในอริยสัจสี่แต่ละอย่าง เริ่มตั้งแต่รู้ว่า ทุกข์คืออะไร เราจะต้องทำอะไรต่อทุกข์ แล้วก็รู้ว่าหน้าที่ต่อทุกข์นั้นเราได้ทำแล้ว
๓.บางท่านไปจับเอาที่พระไตรปิฎกอีกตอนหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้กะทัดรัดมากว่า.....
“ปุพฺเพจาหํ ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกขญฺเจว ปญฺญาเปมิทุกขสฺส จ นิโรธํ”
ภิกษุทั้งหลายทั้งในกาลก่อนแลบัดนี้ เราบัญญัติแต่ทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น
ถ้าจับตรงนี้ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งหมดนั้น
หลักการของพระพุทธศาสนาก็มีเท่านี้ คือ ทุกข์และความดับทุกข์
๔.ท่านพุทธทาส : กล่าวถึงหลักอีกข้อหนึ่งให้ถือว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คือ.....
“สพฺเพ ธฺมมา นาลํ อภินิเวสาย” แปลว่า“ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น” ..... ว่ากันไปหลายอย่างถูกทั้งนั้น อันไหนก็ได้
(หัวใจพระพุทธศาสนา โดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต) (2548 )
2.คำสอนของพระพุทธเจ้ากับพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎก ไม่ได้มีเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่มีคำสอนของพระอรหันต์จำนวนมากอยู่ด้วย
3.เอกายนมรรคคือ ทางสายเอก ทางสายเดียว ทางของท่านผู้เป็นเอกคือพระพุทธเจ้า ทางที่เป็นหนึ่ง คือไปครั้งเดียวแล้วไม่ต้องไปครั้งที่สอง แล้วก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นเอกมันเป็นอย่างไร เป็นหนึ่ง มันเป็นจิตหนึ่ง ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านเรียกต่างๆ กัน
-ท่านพุทธทาส เรียก จิตเดิมแท้
-หลวงปู่ดูลย์ เรียก จิตหนึ่ง (ตัวธรรมเอก)
-หลวงตามหาบัว เรียก ธรรมธาตุ
-สมเด็จพระญาณสังวรฯ เรียก วิญญาณธาตุ
l การตื่นรู้ของฉัน เกิด หรือ สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง อย่างไร (ขอนำมาแลกเปลี่ยนกัน) เริ่มจาก “ความคิดที่ปรารถนาให้ชีวิตที่เหลือ ได้เกิดคุณค่า ความหมายและประโยชน์ต่อตน ผู้อื่น ส่วนรวมและบ้านเมือง” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของฉัน ในการสรุปบทเรียนของชีวิตที่ผ่านมา
@ และเมื่อผ่านเข้าสู่วัยเกษียณ (วัย ๖๐ ปี) ปี ๒๕๕๒
นึกย้อนหลังชีวิตช่วงสำคัญที่ผ่านมา
-เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
-การบวชเป็นพระชัยวัฒน์ อิสรธัมโม ณ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปี ๒๕๑๗
-การเดินทางเข้าร่วมการต่อสู่ด้วยอาวุธในชนบท ๗ สิงหาคม ๒๕๑๙
-การจากไปของป๋า ๒๕๓๓ และคุณแม่ ปี ๒๕๓๕ และเพื่อนมิตรฯ
-ฯลฯ
และเริ่ม “เอาจริง” มากขึ้นจึงทุ่มใจ ศึกษาเรียนรู้ และปฏิบัติมากขึ้น
-ปี ๒๕๕๔ ลูกชายคนเล็ก บวชเป็นพระภิกขุ กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ณ วัดญาณเวศกวัน
-ปี ๒๕๕๖ การได้รับฟังธรรมจาก พ่อครูสมณ โพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก
- ฯลฯ
l และการเข้าใจถึง “ความเป็นมนุษย์” มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ที่เรียนรู้ และพัฒนาได้
มนุษย์มีธรรมชาติของสมอง เพื่อการตื่นรู้ ศักยภาพสูงสุด ของความเป็นมนุษย์ ในการเกิดจิตสำนึกใหม่ ที่กว้างใหญ่ ออกจากมายาคติ คือ การเอาตัวเอง ออกจาก จิตสำนึกเก่าเล็ก อันคับแคบ ทำให้มองเห็นกว้างไกลไปสู่ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ไพศาล เกิดความสุขความปีติยินดีโดยใช้ปัญญาในการคิด ตื่นรู้ ออกจากการติดอยู่ในความไม่รู้ความจริง คือ อวิชชา
The power of Now : อำนาจแห่งปัจจุบันขณะ การมีสติ คือ การตื่นรู้ รู้อยู่กับปัจจุบัน คือ การไม่ประมาทเมื่อมีสติรู้ การตามรู้ กับ ปัจจุบัน : ใจสงบ จึงสัมผัสความจริงตามธรรมชาติ หรือเข้าถึงความจริงเรียกว่า สติ ทำให้เกิดปัญญา (เข้าถึงความจริงตามธรรมชาติ) ปัญญา อิสรภาพ ความสุข เป็นเรื่องเดียวกัน
ตามปรกติ จิตตกอยู่ในอำนาจของกาย กายเจ็บป่วยไม่สบาย จิตก็เจ็บป่วยไม่สบายไปด้วยแต่ธรรมชาติจิต กับ กาย มีทั้งอยู่รวมกัน และแยกจากกันได้โดยต้องมีการฝึกปฏิบัติ
อย่าเอาโรคของกาย มาเป็นโรคของใจ :ท่านพุทธทาส กาย เป็นไปตามธรรมชาติของมัน แต่ใจ สามารถปรับ แก้ไขได้
ร่างกายของเราจะป่วย แต่ใจเราไม่ป่วยไปด้วย :ป.อ. ปยุตโต
l เมื่อได้ข้อสรุป ใจจึงก้าวพัฒนาต่อไป
และทำอยู่ทุกวัน และปรับปรุงไปตลอดเส้นทางเดิน
๑.ได้เพิ่มจุดแข็ง ข้อดี
๒.ลดจุดอ่อน ข้อเสีย จึงเกิดความสุข และความสงบ มากขึ้น
แล้วนำมาพัฒนา
๑.ทุกอย่าง ต้องยึดเอาความจริงเป็นหลัก ทั้งการแสวงหาข้อมูล และการปฏิบัติ
๒.การทำงาน เพื่อผู้อื่น ส่วนรวม และบ้านเมือง
๓.การใช้ชีวิตประจำวัน การกิน การอยู่ การออกกำลังกาย การพักผ่อน การนอน
๔.การสัมพันธ์กับผู้คน และเพื่อนมิตรฯ
๕.การมองและเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน
l สำหรับฉัน “การบรรลุความสำเร็จ” ไม่เคยได้มาอย่างง่ายๆ ต้องเอาจริง ลงแรงหนัก….ตั้งแต่“วันนั้น ในยามเด็ก” มาถึงวันนี้ วัย ๗๖ ปี
@ แต่ ที่เปลี่ยนไป คือ “ใจสุขสงบ” ในการทำงานในแต่ละวัน เมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้ และในบั้นปลายชีวิต ที่เหลือเวลาอีกไม่มากนักฉันจึงเน้นงานเพื่อผู้อื่น ส่วนรวม และบ้านเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี