กรณี สส.ปูอัด ต้องข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน กำลังเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ
1. ศาลจังหวัดเชียงใหม่ อนุมัติออกหมายจับที่ 262/2568 ตามที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ร้องขอ เพื่อติดตามจับกุมนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ “ปูอัด” สส.กรุงเทพฯ พรรคไทยก้าวหน้า ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน
จากนั้น ทางตำรวจได้ดำเนินการยื่นหมายจับไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอนำตัวไปดำเนินคดี เนื่องจากยังอยู่ในสมัยประชุมสภา รอมติที่ประชุมว่าจะส่งตัวดำเนินคดีหรือไม่
มีสส.จำนวนมาก เรียกร้องให้ สส.ปูอัดไม่ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง
และบางส่วนเรียกร้องให้ลาออกจาก สส.ไปเลย เพราะมีเรื่องอื้อฉาวแบบนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่สังกัดพรรคส้ม
2. คดีนี้ เริ่มต้น เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2568 นักท่องเที่ยวหญิงอายุ 25 ปี ชาวไต้หวัน ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่
ระบุว่า ถูกข่มขืน เหตุเกิดที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2568 เวลาประมาณ 02.00 น.
ผู้เสียหายให้การว่า คืนเกิดเหตุได้ไปนั่งดื่มกินที่ร้านแห่งหนึ่งบนถนนมูลเมือง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จนเมาแล้วได้เจอกับนายไชยามพวาน ก่อนจะพูดคุย และนายไชยามพวาน ได้อาสามาส่งที่ห้องพักใกล้ๆ ร้าน
จากนั้น นายไชยามพวานได้ใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ และจากไป
หลังแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทางผลตรวจทางการแพทย์ พยาน และหลักฐานกล้องวงจรปิด จนมีการเสนอศาลขอออกหมายจับเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 และศาลได้อนุมัติออกหมายจับ
3. นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ (ปูอัด) สส.กทม. พรรคไทยก้าวหน้า (ทกน.) หลังถูกออกหมายจับจากคดีข่มขืนสาวชาวไต้หวัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าตัวยังไม่แสดงตัวหรือให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ
คนใกล้ชิด สส. ปูอัด มีการส่งข้อความแชทไลน์ อ้างว่า สส. ปูอัด ปฏิเสธข้อกล่าวหายืนยันว่าฝ่ายหญิงสมยอม และจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
จากนั้น ปรากฏคลิปภาพกล้องวงจรปิดในร้านวันเกิดเหตุ ลักษณะว่า หญิงสาวไต้หวันกับสส.ปูอัด มีพฤติกรรมนัวเนียกันตั้งแต่อยู่ในร้านสถานบันเทิง
ล่าสุด รายงานข่าวระบุว่า สส.ปูอัด รอวันไปมอบตัวที่ จ.เชียงใหม่ ก่อนวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ และจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งเดียวที่ จ.เชียงใหม่
พร้อมยืนยันว่า นายไชยามพวาน ยังไม่มีความคิดจะลาออกจากตำแหน่ง หลังเพื่อนสมาชิกกดดันไม่ให้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง
รายงานข่าวระบุด้วยว่า เพื่อนนายไชยามพวานกล่าวว่า ตำรวจมีการเรียกรับเงิน 4 แสนบาท แลกกับการยุติคดีตั้งแต่เดือนมกราคม เพราะนายไชยามพวานได้เดินทางกลับไปที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่รู้ว่าถูกแจ้งความดำเนินคดี แต่เมื่อไม่จ่ายเงินก็กระโดดจากหมายเรียกเป็นหมายจับเลย ซึ่งหลังจากนี้ จะค่อยๆ ปล่อยหลักฐานออกมา ยอมรับว่าทั้ง 2 คนมีเพศสัมพันธ์กันจริง แต่เป็นการสมยอม และในห้องมี 3 คน คือ นายไชยามพวานสาวชาวไต้หวัน และเพื่อนสาวของหญิงชาวไต้หวัน
“ถ้าเป็นการข่มขืนจริง ทำไมเพื่อนเธอจึงไม่ช่วย และคืนนั้นหญิงชาวไต้หวันได้เดินออกมาส่งนายไชยามพวานที่หน้าห้อง แต่น่าเสียดายที่ทางโรงแรมแจ้งว่ากล้องวงจร
ปิดเสีย ทำให้ไม่มีหลักฐาน
และประเด็นหนึ่งที่นายไชยามพวานตั้งข้อสังเกต คือ หลังเกิดเหตุตำรวจไม่ได้ลงพื้นที่เก็บหลักฐานแวดล้อมเลย ฟังแต่คำให้การของผู้เสียหาย ซึ่งแน่นอนว่า การตรวจร่างกายย่อมเจออสุจิอยู่แล้ว ทำให้นายไชยามพวาน ทีมงาน และทนายความต้องลงพื้นที่ไปเก็บหลักฐานเอง ถ้าจากคลิปวงจรปิดที่ถูกปล่อยออกมาจะเห็นได้ว่านายไชยามพวานไม่มีท่าทีมึนเมา สามารถเช็คกับทางร้านอาหารได้ว่าคืนนั้นนายไชยามพวานไม่ได้สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงเชื่อว่า เขามีสติครบถ้วน แต่ที่ไม่ออกมาแถลงตอนนี้ เพราะกระแสสังคมยังแรงอยู่ พูดอะไรออกมาก็คงไม่ฟัง” - เพื่อนนายไชยามพวานกล่าว
4. การต่อสู้คดีว่าข่มขืนหรือสมยอมนั้น จะต้องต่อสู้ด้วยพยาน พยานหลักฐาน ข้อมูลข้อเท็จจริงนำมาต่อสู้หักล้างกัน
มิใช่ด้วยอคติ หรือความเชื่อ หรือจินตนาการของใคร
อย่างที่พยายามเปิดภาพวงจงปิดในผับ แล้วพยายามอ้างว่า ฝ่ายหญิงสมยอมนั้น ในความเป็นจริงแห่งคดี เพียงเท่านี้ไม่เพียงพอที่จะสรุปว่า ฝ่ายหญิงสมยอม หรือจะรีบอ้างว่า ไม่มีการข่มขืน
การข่มขืนตามข้อกล่าวหา เกิดขึ้นในห้อง การเอาภาพในผับมาอ้าง จึงเป็นเพียงพยานหลักฐานแวดล้อม ก่อนเกิดเหตุ
ต่อให้ในผับจะนัวเนียแค่ไหน หรือต่อให้ในผับจะเกือบได้เสียกันแล้วก็ตาม แต่ถ้าในห้อง ฝ่ายหญิงไม่ยอมพร้อมใจ จะด้วยเหตุผลใดๆ ฝ่ายชายก็ไม่สามารถจะไปบังคับขืนใจได้
จะอ้างว่า ฝ่ายหญิงอ่อยมาตั้งแต่ในผับแล้ว เพราะฉะนั้น ถือว่าสมยอมตามน้ำไปตลอดคืน หาได้ไม่
5. บทเรียนคดีสมรักษ์ คำสิงห์
สมรักษ์ยืนยันว่า ไม่ได้ข่มขืน โดยรู้จักหญิงสาวในสถานบันเทิง เมื่อเดือนธ.ค.2566
ปรากฏว่า ศาลจังหวัดขอนแก่น (ศาลชั้นต้น คดียังไม่ถึงที่สุด) พิพากษาว่าสมรักษ์มีความผิด ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายเบิกความตามข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเบิกความเชื่อมโยงกัน หากไม่ประสบเหตุจริง ที่เป็นเรื่องน่าอับอาย เชื่อว่า ไม่มีจริตเสแสร้ง เอาความเท็จมาแจ้ง ซึ่งอาจถูกดำเนินการเอาผิดในภายหลัง สอดคล้องผลการชันสูตรบาดแผล ร่องรอยความรุนแรงที่พบบริเวณเต้านม จากการใช้แรงกดทับ ไม่ใช่การจับธรรมดา รวมทั้งมุมปากช่องคลอดด้านล่าง ที่ผู้เสียหายให้การว่า จำเลยที่ 1 พยายามข่มขืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่ไม่บรรลุผล เพราะดิ้นขัดขืน ประกอบกับอวัยวะเพศจำเลยที่ 1 ไม่แข็งตัว จึงพยายามถูไถด้านนอก
ข้อต่อสู้จำเลยว่า ผู้เสียหายยินยอม ขัดกับคำเบิกความ พยานแวดล้อมรวมทั้งบาดแผลย่อมไม่เกิดขึ้น หากผู้เสียหายยินยอม
“การที่ผู้เสียหายเดินตามไป ไม่ได้หมายความว่า จะยินยอมมีเพศสัมพันธ์”
และไม่ได้มีการพูดถึงการค้าประเวณี การนำสืบยังไม่พบว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์แต่อย่างใด จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และหักล้างพยานโจทก์ได้
พิพากษาจำคุกรวม 4 ปี 8 เดือน จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี 13 เดือน 10 วัน และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติ 50,000 บาท และผู้เสียหาย 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี
ทั้งนี้ คดีนี้ นายสมรักษ์ยังมีต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป คดียังไม่ถึงที่สุด
6. ทนายเจมส์ เคยให้ความรู้มุมมองกฎหมายไว้น่าสนใจ ระบุว่า
คดีที่สาวม้งถูกอดีตผู้ใหญ่บ้านข่มขืน โดยมีการถ่ายภาพและอัดคลิปไว้ ต่อมามีการเผยแพร่ภาพสาวม้ง ทำให้สาวม้งเกิดความอับอาย จึงกินยาฆ่าตัวตาย แต่อาการไม่ดีขึ้นและเสียชีวิตในที่สุด นำมาสู่การแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตผู้ใหญ่บ้าน
ทนายเจมส์เล่าว่า เมื่อจับกุมผู้ต้องหาได้ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธไม่ได้ข่มขืนสาวม้งคนดังกล่าว หากแต่เกิดจากความสมยอม ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างไรก็ได้ แต่จะมีน้ำหนักเพียงพอหักล้างพยานหลักฐานของฝ่ายผู้กล่าวหาหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่อง
“ในคดีอาญา หากพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล และผลคำวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งพิจารณาจากร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ เจือสมกับพฤติการณ์ในคดีก่อนๆ ของจำเลยเอง ย่อมทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจำเลยได้ลงมือข่มขืนผู้เสียหายจริง มิได้เกิดจากการสมยอมกันตามที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยย่อมมีความผิดข้อหาข่มขืนผู้อื่น...
กรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพว่า กระทำผิดจริง ศาลอาจจะลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่า จำเลยสำนึกผิดในการกระทำ
ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า ส่วนใหญ่ศาลจะพิพากษาลงโทษสถานหนัก เนื่องจากจำเลย
ไม่สำนึกผิดในการกระทำ และไม่มีการบรรเทาความเสียหายให้กับผู้เสียหายเลย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่าการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทำกับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต.....”
7. แนวทางการต่อสู้คดีข่มขืน ประเด็นเรื่อง ข่มขืนจริงหรือสมยอมดูอย่างไร?
จะต้องรับฟังคำให้การพยานบุคคล โดยคำให้การนั้นต้องสมเหตุสมผล ต้องไม่ขัดแย้งกับคำให้การครั้งก่อนของตนเอง ต้องไม่ขัดกับวัตถุพยานหรือพยานแวดล้อม
ร่างกายของผู้เสียหาย หรือจำเลย มีร่องรอยฟกช้ำหรือแผลจากการต่อสู้ขัดขืนหรือไม่
ยินยอมไปกับจำเลยตั้งแต่ที่แรกหรือไม่ ถูกกระทำแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร
ขณะที่เกิดเหตุการณ์ข่มขืน มีพฤติการณ์อย่างไร พยายามร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่ มีลักษณะมีสติหรือไม่ ขัดขืนได้หรือไม่ อย่างไร
ประพฤติทางเพศของผู้เสียหายและจำเลย เป็นอย่างไร ฯลฯ ทั้งหมด ต้องนำมาพิจารณาประกอบคำให้การ และพยานหลักฐาน
เพราะฉะนั้น ข่มขืน หรือสมยอม? จะต้องสู้กันด้วยหลักฐาน ข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่คลิปในสถานบันเทิง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี