“ทักษิณ ชินวัตร” ครองบ้านครองเมืองโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นกลไกขับเคลื่อน และมี“มาดามแพทองโพย”บุตรสาวเป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐบาลผสม“ข้ามขั้ว” พร้อมทั้งมีบริษัทบริวารเข้าไปเป็นรัฐมนตรีคอยรองมือรองเท้า ในเวลานี้นั้น เพียงเข้าปีที่ 2 ก็เห็นแล้วว่า ประเทศไทยไม่ต่างจาก“กิจการ”ของตระกูลชินวัตร ที่มีทักษิณเป็น“นายห้าง”
ไม่เพียงแต่เท่านั้น “ทักษิณ ชินวัตร”กลายเป็นผู้ทรงอำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญที่แท้จริง และนับวันก็ยิ่งมีความน่าวิตกว่า ประเทศกำลังเดินเข้าไปใกล้ความเป็น“รัฐล้มเหลว” หรือ “Failed State” คือเป็นรัฐที่แตกสลาย
ทั้ง“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดา และ“แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาวผู้สืบสันดาน ไม่เคยฟังเสียงวิจารณ์ใดๆ เรียกว่าไม่เห็นหัวผู้ใดใครทั้งสิ้น เหมือน“ยิ่งห้ามก็ยิ่งทำ”
คนเป็นลูกคือ“มาดามแพทองโพย”นั้น ยังพอเข้าใจได้ว่า จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องการไม่รู้จักกาลเทศะเกี่ยวกับ“เสื้อ-ผ้า-หน้า-ผม” อันเนื่องมาจากการขาดวุฒิภาวะ ว่าอะไรควรไม่ควรระหว่างความเป็นนายกรัฐมนตรี กับความเป็น“ลูกคุณหนูพ่อรวย” นั่นก็เพราะด้วยแรงต่อต้าน เหมือนเธอกำลังถูกสังคมจำกัดในเรื่องที่อยากจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ เช่นที่เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า “เพราะนี่เป็นฉัน, ฉันก็จะแต่งตัวแบบนี้แหละ”
ดังนั้น ช่วงที่“แพทองโพย”เดินทางไปเยือนประเทศจีน จึงคล้ายกับ“ตัวประหลาด” ไม่สำเหนียกอะไรใดๆ ทั้งสิ้น นึกอยากจะแต่งอะไรก็แต่ง ไม่เหมือนกับชาวบ้านหรือภริยาผู้นำคนอื่นๆ วันหนึ่งเปลี่ยนสามสี่ชุด
ในทางจิตวิทยาเรียกว่าเป็นอาการ“Reactance”ของ“มาดามแพทองโพย” คือ มีพฤติกรรมที่ต้องการจะแหกกฎ เป็นปฏิกิริยาเพื่อเรียกคืนเสรีภาพของตนเองให้กลับมา ด้วยการทำลายระเบียบการแต่งกายที่เป็นพิธีการ แล้วก็แต่งกายตามที่อยากแต่ง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในวันที่เปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับ“นาโอมิ แคมป์เบลล์” นางแบบชื่อดังระดับโลก เข้าพบหารือเรื่องแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้น “มาดามแพทองโพย”ก็ยังได้กล่าวกับนางแบบวัย 54 ปีชาวอังกฤษเชื้อสายจาเมกาผสมจีนผู้นี้ ว่าตนชอบใส่แฟชั่นแตกต่าง ที่ไม่เหมือนกับนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ
และวันที่พบกับ“นาโอมิ แคมป์เบลล์” ยังปรากฏเป็นข่าวว่า ด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่พบกับนางแบบผู้นี้ “มาดามแพทองโพย”ได้เปลี่ยนรองเท้าถึง 2 คู่ คือหนึ่งคู่ใส่ตอนนั่งคุย กับอีกคู่หนึ่งใส่ตอนยืนถ่ายรูปคู่กับนางแบบชื่อดัง ซึ่งมีส้นสูง เมื่อใส่คู่นี้แล้ว เธอจะได้ดูไม่เตี้ยกว่านาโอมิที่มีความสูง 178 เซนติเมตร
สำหรับ“นาโอมิ แคมป์เบลล์” จะว่าเป็น“ของเล่น”ที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา“จัดหา”มาให้บุตรสาวเล่น นอกเหนือจากเป็นนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ก็ไม่ผิดนัก เพราะทักษิณลงทุนควักเงินส่วนตัว 20 ล้านบาท จ้างให้นางแบบผิวสีผู้นี้เป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยงานเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ที่“มาดามแพทองโพย”นั่งเป็นประธาน
นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากต้อนรับ“นาโอมิ แคมป์เบลล์”เสร็จสรรพ ปรากฏว่า“มาดามแพทองโพย” ก็ได้พาลูกสาวลูกชาย 2 คนมาวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ในทำเนียบรัฐบาล ระหว่างนั้นก็ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปด้วย แต่ให้สัมภาษณ์ละม้ายคล้าย“คุณหนูเอ๋อ” ถามคำตอบคำ แต่สายตาและมือไม้สาละวนอยู่กับลูก
อย่างไรก็ดี เรื่องของ“มาดามแพทองโพย”ผู้เป็นลูกสาว ไม่น่าวิตกเท่าไร แต่สำหรับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายผู้เป็นบิดา กลับเป็นเรื่องน่าอันตรายต่อประเทศชาติทั้งในวันนี้และในอนาคต ที่จะนำไปสู่การเป็น“รัฐล้มเหลว”
เรื่องการ“ป่วยทิพย์-ชั้น 14”โรงพยาบาลตำรวจ ที่พรรคฝ่ายค้านจะนำไปเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยังกุมความลับไว้ทั้งหมดอยู่ในเวลานี้นั้น ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ เพราะหลักนิติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายของประเทศนี้ได้ถูกทำลายโดย“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็น“นักโทษเทวดา”
อีกทั้งยังมีเรื่องการเป็นนายกรัฐมนตรีทับซ้อน โดย“ทักษิณ ชินวัตร”ใช้ลูกสาวเป็น“ร่างทรง” และเรื่องการดำเนินนโยบายของรัฐบาลซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ เช่น โครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”เป็นต้น จากที่จะแจกเป็นเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ก็เปลี่ยนเป็นแจกเงินสด และสุดท้ายเป้าหมายเพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น
นอกเหนือจากนั้น ก็ยังมีเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ซุก“กาสิโน”ซ่อนเอาไว้เป็นเม็ดใน และรวมทั้งการพนันออนไลน์ที่จะนำขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ ล้วนจะนำไปสู่“ธุรกิจสีเทา”ที่เป็นปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก ทั้งการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ รวมไปถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังพยายามจะปราบกันให้สิ้นซาก
สิ่งที่จะต้องจับตาอย่างเป็นพิเศษ คือเรื่องที่พรรคเพื่อไทยกำลังจะฉีก“รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงนักการเมือง”ที่ใช้ในปัจจุบันนี้ทิ้ง โดยร่วมมือกับพรรคประชาชน แล้วยกร่างฉบับใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองชั่วร้ายทั้งหลายได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
ไม่แน่ว่าถ้าหากสามารถยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปอาจจะชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”ก็เป็นได้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี