จากปฏิบัติการรื้อสะพานอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ตำรวจไทยบุกจับสองตัวการใหญ่ ภายในบ้านพักอาศัยแบบทาวน์โฮมในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในซอยพหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายยี วานโยวอายุ 29 ปี และ นายลี่ เว่ยเจีย อายุ 30 ปี สัญชาติจีนถูกจับกุมวันที่ 6 กุมภาพันธ์
ต่อเนื่องจากที่ทางการไทย ตัดกระแสไฟฟ้า และอินเตอร์เนต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอาชญากรรมข้ามชาติในเขตพม่า ที่อยู่ห่างจากเมืองชายแดนของไทย แค่ขว้างก้อนหินไปถึง หลังจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตัดกระแสไฟบางส่วน ที่ส่งไปยังฝั่งพม่าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ สองวันต่อมา ตำรวจไทยสามารถจับกุมชายญี่ปุ่นได้ 4 คน ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องการกระทำผิดกฎหมาย ร่วมกับแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ในเขตเมียวดีของพม่า
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ เน้นการสกัดการเคลื่อนย้ายข้ามแดนตามช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามแดนต่างๆ
ตร.ไทยจับชายญี่ปุ่น 4 คน ที่เข้าไปเมืองชายแดนพม่า เชื่อว่าเกี่ยวพันกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
พิเคราะห์จากพฤติกรรมของชายญี่ปุ่น 4 คน ที่ถูกจับ บ่งชี้ว่า พวกเขาเตรียมการมาอย่างดี และอาจเป็นสมาชิก แก๊ง 14K ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรรมใหญ่ อันดับสองในโลก ที่มีสมาชิกเป็นตัวการสำคัญฝังตัวอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกถึง 25,000 คน
ข้อมูลตำรวจ ระบุว่า ชายญี่ปุ่น4 คน โดยสารรถตู้ไปแม่สอด แล้วเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งเมื่อวันที่31 มกราคม และ เช็คเอ้าท์วันที่ 1 กุมภาพันธ์ออกจากโรงแรมนั่งรถไปตลาดริมเมยใกล้สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 1และเดินเตร็ดเตร่เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ก่อนที่จะหายตัวไป
ต่อมา เวลา 11.00 น. ในวันเดียวกันตำรวจเห็นผู้สงสัย เดินข้ามสะพานมิตรภาพฯจากเมืองเมียวดีฝั่งพม่า หลังจากนั้นมีคนมารับกระเป๋าเดินทาง และสัมภาระของกลุ่มชายญี่ปุ่นที่โรงแรม แล้วข้ามไปฝั่งพม่า โดยไม่ผ่าน ด่านศุลกากร
“เจ้าหน้าที่แน่ใจว่า ชาวญี่ปุ่นที่ข้ามชายแดนผิดกฎหมาย ต้องเกี่ยวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติหรือ คอลเซ็นเตอร์ เพื่อเป้าหมายหลอกเหยื่อชาวญี่ปุ่นด้วยกัน ตำรวจจึงประสานงานสถานทูตญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการยืนยันว่าทั้งสี่คนมีประวัติอาชญากรรม และมีหมายจับหลายข้อหาค้ายาเสพติดในญี่ปุ่น เมื่อพวกเขาข้ามชายแดนกลับมายังประเทศไทยในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พวกเขาถูกจับฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย และยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวทันที”พล.ต.อ.ธวัชชัย กล่าว
การจับกุมครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าในเวลา 6 วันในศูนย์กลางอาชญากรรม ญี่ปุ่น 4 คน ได้สร้างความเสียหายให้คนญี่ปุ่นในประเทศจำนวนเท่าไหร่ ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองแม่สอด คาดว่าจะย้ายไปที่กองตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู ในกรุงเทพฯ ก่อนดำเนินการเนรเทศกลับประเทศญี่ปุ่นต่อไป
พฤติกรรมของผู้ต้องหาญี่ปุ่น4 คนที่ถูกจับ คล้ายๆ กันคน 37 สัญชาติทั่วโลก ที่รัฐบาลทหารพม่าได้รับการร้องเรียนจากประเทศต่างๆ ว่า คนของพวกเขาสูญหายในพม่ากว่า 4,700 คน และทางการพม่า ระบุว่าตั้งแต่ปี 2564 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2568 พบตัวแล้ว 2,300 คน ที่เหลือกำลังดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือส่วนใหญ่ให้การว่า ถูกหลอกไปทำงานในคอลเซ็นเตอร์แต่เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า มีจำนวนไม่น้อย
เช่นกัน ที่เป็นสมาชิกของขบวนอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊ง 14K เหมือนชายญี่ปุ่น 4 คนที่ถูกจับ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งกลับจากการประสานกับเจ้าหน้าที่จีน เรื่องร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติฝั่งพม่า ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า..“ขณะนี้ประชาชนชาวเมียวดี ประเทศเมียนมา ออกมาประท้วงประเทศไทยในการตัดไฟ จะรับมืออย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “อย่างที่บอกเราต้องดูแลคนของเรา เพราะดิฉันเป็นนายกฯของประเทศไทยก็ต้องดูแลประเทศไทยก่อน คิดว่าทางนั้นเขาก็ต้องดูแลคนในประเทศของเขาเช่นกัน ทุกประเทศต้องดูแลคนของตัวเอง..”
ไม่ชัดเจนว่า นายกฯแพทองธารหมายความว่าอย่างไร เธอจะดูแลคนไทยไม่ให้คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงหรือ ว่าดูแลคนไทย ไม่ให้เข้าไปพัวพัน หรือเป็นตัวการใหญ่ในขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ เนื่องจากเป็นที่ประจักษ์ว่า ประเทศไทยถูกใช้เป็นทางผ่าน และอาจเป็นไปได้ว่า แก๊ง 14K ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์ปฏิบัติการใหญ่ ไม่ใช่เป็นเพียงทางผ่านจากหลักฐานเชิงประจักษ์ผู้ที่สงสัยว่า เกี่ยวพันแก๊ง 14K มีที่พักอาศัยในเมืองใหญ่ของไทย บางรายถึงกับซื้อหมู่บ้านจัดสรรจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ไว้เป็นฐานปฏิบัติการยกทั้งหมู่บ้าน
และปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ตัวการใหญ่ของกองกำลังชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งหลาย มีบ้านพักอาศัยอยู่เมืองชายแดนไทย จึงน่าสนใจเมื่อ สส.รังสิมันต์ โรม โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ โดยปกติผู้เขียนไม่ไว้ใจ สส.คนนี้ แต่ข้อความบนเฟซบุ๊กบังเอิญตรงกับที่ข้อมูลที่เรามี
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “รังสิมันต์โรม” ว่า “ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.อ.หม่องชิตตู ผู้นำกองกำลัง BGF/KNA กองกำลังสำคัญที่ปกครองเมืองเมียวดีอยู่ในขณะนี้
“หม่องชิตตู คนนี้ถูกแซงก์ชั่น หรือคว่ำบาตรจากหลายประเทศไม่ว่าจะอังกฤษ สวิส ฝรั่งเศส หรืออียู เนื่องจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ คือ เป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญของ เสอจื้อเจียง เจ้าของชเวโก๊กโก่ ซึ่งถูกจับในประเทศไทย
: เสอ จื้อเสียง ถูกจับในกรุงเทพฯตามหมายจับตำรวจสากลในปี 2565 ขณะนี้ถูกขังอยู่ในเรือนจำคลองเปรม และพยายามคัดค้านการส่งตัวไปดำเนินคดี ในประเทศจีน=ผู้เขียน :
ที่ผ่านมากองกำลัง BGF พยายามปฏิเสธความเกี่ยวข้องคนตนเองกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด แต่จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากองกำลัง BGF เป็นผู้ให้เช่า ต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกมากมายมหาศาล และการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นก็ได้ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างรุนแรง
“แม้ว่ากองกำลัง BGF จะออกมาให้ข่าวเป็นระยะว่า จะดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในทางปฏิบัติเรากลับพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพวกนี้ได้ใช้ทรัพยากรหลายอย่างของประเทศไทย กองกำลัง BGF ได้ใช้ประชาชนของตัวเองเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกัน ก็สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองบนความเสียหายของหลายๆ ครอบครัวทั่วโลก นี่คือความเลวร้ายอย่างถึงที่สุดของกองกำลัง BGF”
ข้อมูลในทางลับยืนยันว่า หม่องชิตตู และ กะเหรี่ยงทุกกลุ่มไม่สามารถอยู่รอดได้โดยปราศจากการคุ้มครองของข้าราชการกังฉินตัวใหญ่ในประเทศไทย
ดังนั้น ที่นายกฯแพทองธารกล่าวว่า เป็นนายกฯประเทศไทยต้องดูแลคนไทยก่อน จึงอยากให้นายกฯดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นสำคัญและที่ขาดไม่ได้อยากให้นายกฯสแกนผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลเพื่อไทยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไหม?
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี