พรุ่งนี้วันที่ 18 กุมภาพันธ์ อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นจำเลยในคดีความผิดมาตรา 112 และศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต จะติดปีกโบยบินโดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวออกนอกราชอาณาจักรไทยอีก นับเป็นครั้งที่สองในรอบครึ่งเดือน โดยศาลอาญาได้มีไฟเขียวอนุญาตตามที่ทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ก็เป็นไปตามที่เขียนไว้เมื่อตอน“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับอนุญาตจากศาลอาญาครั้งแรกให้ไปมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ในช่วงต้นเดือน เพื่อร่วมประชุมกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน และทักษิณได้รับแต่งตั้งจากอันวาร์ให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน โดยเขียนไว้ว่าทักษิณไปแล้วไม่ไปลับ อย่างไรก็ต้องกลับมา เพราะยังไม่จำเป็นต้องรีบหนีออกไปเป็นสัมภเวสีเหมือนเมื่อครั้งที่เคยหนีคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองไป 15 ปีกว่า ด้วยการหลอกศาลว่าจะไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ปี 2551 แล้วก็เผ่นหนียาวไปเลย
ที่ไปมาเลเซียแล้วไม่ไปลับนั่นก็เพราะ คดีหมายเลขดำ อ.1860/256 ฐานดูหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีความผิดมาตรา 112 ซึ่งเป็นบ่วงมัดคอ“ทักษิณ ชินวัตร”ในฐานะจำเลยอยู่เวลานี้นั้น ยังอีกยาวไกลกว่าจะสิ้นสุดในชั้นศาลฎีกา ทักษิณจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรีบหนี และอยู่ในประเทศนี้ก็แสนจะสบายดีอยู่แล้ว ถ้าเป็นภาษาในสำนวนของ“มาดามแพทองโพย”ที่ชอบพูดไทยคำฝรั่งคำ และต้องลงท้ายด้วยคำว่า“มากมาก” ก็คงจะต้องพูดว่า “คุณพ่ออยู่ในประเทศไทยเวลานี้ก็สบายดีมากมากอยู่แล้วค่ะ”
เรียกว่าสบายยิ่งกว่าสบาย เนื่องจาก“ทักษิณ ชินวัตร”มีอำนาจล้นฟ้า เป็นซุปเปอร์ซีอีโอของประเทศนี้ มีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงที่เป็นแกนนำรัฐบาล และบรรดาลูกสมุนในคอกที่อยู่ใต้อาณัติก็เป็นรัฐมนตรี คุมทั้งทหารและตำรวจ อีกทั้งกฎหมายบรรดามีทั้งหลายก็ทำอะไรทักษิณไม่ได้ เพราะผู้บังคับใช้กฎหมายไม่หาญกล้า
ถึงขนาดว่า กกต.ก็ยังหูหนวกตาบอด แบบ“ใบ้รับประทาน”ในหลายๆ เรื่องที่น่าจะเข้าข่ายว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ละเมิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ในช่วงที่ทักษิณเป็นผู้ช่วยหาเสียงออกเดินสายขึ้นเวทีปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย ทั้งภาคเหนือและอีสาน
คราวแรกที่“ทักษิณ ชินวัตร”ไปมาเลซียแล้วกลับมารายงานตัวต่อศาลตามนัดนั้น ยังได้เคยเขียนไว้ในคอลัมน์นี้ด้วยว่า จากนี้ไปทักษิณก็คงจะหาเรื่องขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกประเทศ โดยมี“มาริษ เสงี่ยมพงษ์”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็น“เด็กในคาถา” คอยเอาหัวค้ำประกันต่อศาล พร้อมใช้เศษเงินแค่หลักล้านวางเป็นหลักทรัพย์ ด้วยข้ออ้างเดิมว่าเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน พอหลายๆ ครั้งเข้า ก็จะกลายเป็นภาพคุ้นชิน กระทั่งได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจว่าไม่เป็น“เสือเผ่น”แน่ และเมื่อเข้าตาจนถึงขั้นจะต้องเข้าคุก ก็สามารถหนีได้อย่างสบาย โดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ไม่ต้องมุดหนีทางช่อง“สุนัขลอด”ตรงบริเวณชายแดนไทย-เขมร
แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่เขียนเอาไว้ โดยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์ นอกจากจะมีข่าวการแต่งงานอันบันลือลั่นในวันแห่งความรัก ที่ทั้งชายจริงหญิงแท้, ชายกับชาย และหญิงกับหญิง ได้สมรักสมรสกันแล้ว ในรัฐสภาก็มีข่าวการประชุมเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ“ล่มปากอ่าว”เป็นครั้งที่สอง เพราะองค์ประชุมไม่ครบ โดยในวันแห่งความรักนั้น ศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุญาตตามที่“ทักษิณ ชินวัตร”ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
การขออนุญาตออกนอกราชอาณาจักรคราวนี้ “ทักษิณ ชินวัตร”ขออนุญาตศาลไปประชุมที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ คือวันพรุ่งนี้กับวันมะรืนนี้ นอกจากจะขออนุญาตสองวันเหมือนครั้งแรกที่ไปมาเลเซียแล้ว ข้ออ้างก็ยังเหมือนเดิม เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษานายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งสวมหมวกประธานอาเซียนอีกหนึ่งใบ
ไม่เพียงแต่เท่านั้น นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็น“เด็กในคาถา”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ครั้งยังเป็นข้าราชการประจำในกระทรวงต่างประเทศ และถูกทักษิณสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีเรียกตัวมาใช้งานที่ทำเนียบรัฐบาล ก็“เอาหัวค้ำประกัน”ต่อศาล เกี่ยวกับการเดินทางไปบรูไนของทักษิณในครั้งนี้ เหมือนกับครั้งแรกที่ไปมาเลเซียนายมาริษก็ค้อมหัวรับรอง
เมื่อศาลพิจารณาเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง โดยนายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือผ่านสถานทูตไทย ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเชิญ“ทักษิณ ชินวัตร”ไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ทักษิณเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท พร้อมทั้งให้รายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ ซึ่งทั้งหลักประกัน 5 ล้านบาท และเมื่อกลับมาแล้วต้องรายงานตัวภายใน 3 วัน ก็เหมือนกับที่ศาลอนุญาตครั้งแรกเช่นกัน
แต่ที่ผิดคิวโดยไม่เป็นไปตามความตั้งใจของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จากการขออนุญาตศาลในครั้งนี้นั้น ศาลอนุญาตให้เดินทางไปเฉพาะประเทศบรูไน ดารุสลาม เท่านั้น ส่วนที่ทักษิณยื่นขออนุญาตไปประเทศเวียดนาม และกัมพูชา อีกสองประเทศพร้อมกันในคราวเดียวกันนี้ด้วยนั้น ศาลได้ยกคำร้องไม่อนุญาตให้ไปทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเหมือนกับคนที่“ได้คืบจะเอาศอก”ตามนิสัยถาวรของบุคคลผู้นี้ ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศเวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ อันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปบรูไนด้วย เเต่ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า“กรณีไม่มีเหตุจำเป็น” ให้ยกคำร้อง
นั้นก็ด้วยเหตุผล-เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การขออนุญาตเดินทางไปประเทศเวียดนามของ“ทักษิณ ชินวัตร” เป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนาม ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม โดยอ้างว่าเป็นการเชิญไปพูดคุยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเเละด้านเศรษฐกิจ เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม
ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจากสมเด็จฮุน เซน เเต่เป็นในนามส่วนตัวเช่นกัน ไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การติดปีกโบยบินของ“ทักษิณ ชินวัตร”โดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว“Gulfstream G650”อากาศยานคู่ชีพ ราคา 2.2 พันล้านบาท ที่ภายในห้องโดยสารมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรู และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยครบครัน มุ่งสู่ประเทศบรูไน ดารุสลาม ในวันพรุ่งนี้นั้น คงไม่ต้องมีคำถามเหมือนครั้งแรกว่า ทักษิณจะกลับมาหรือไม่
เพราะภายในเวลา 1 ปี ตามวาระในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของ“อันวาร์ อิบราฮิม”นั้น “ทักษิณ ชินวัตร”ยังสามารถขออนุญาตศาลออกนอกราชอาณาจักรได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ภายในหนึ่งปีหากจวนตัวหรือมีลางสังหรณ์ว่าติดคุกแน่-ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังหาทางเผ่นหนีได้ทัน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี