เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของดินแดนแถบนี้ที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ก็จะพบว่าสตรีเพศที่ขึ้นมาปกครองหรือเป็นผู้นำแผ่นดิน ที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จจนถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นหลักฐานจากศิลาจารึก ตำนาน และอื่นๆก็เห็นจะมีแต่พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัยเท่านั้น
ถึงอย่างไร ประวัติของพระองค์ ที่ถูกบันทึกไว้ก็ยังมีความแตกต่างกัน แต่หากจะยึดเอาจากตำนานจามเทวีวงศ์และตำนานมูลศาสนา ก็พอจะสรุปได้ว่าพระองค์ทรงพระราชสมภพเมื่อปีพุทธศักราช ๑๑๗๖ เป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ ซึ่งจะต่างจากตำนานมุขปาฐะพื้นบ้านที่กล่าวว่าพระองค์เป็นธิดาของคหบดีชาวหริภุญชัย มีเชื้อสายเป็นชาวมอญ อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
สิ่งที่ไม่แตกต่างกันก็คือชีวิตในเยาว์วัยของพระองค์นั้น ได้เขาไปอยู่ใน อาณาจักรละโว้อย่างแน่นอน ได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษา รวมทั้งศิลปะวิทยายุทธ์เป็นอย่างดีจากสำนักของพระเจ้ากรุงลวปุระ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระสิริโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ ในที่สุดจึงได้มีพระราชโองการให้มีพิธีอภิเษกดำรงพระยศเป็นพระธิดาแห่งกรุงละโว้ เฉลิมพระนามในพระสุพรรณบัฏว่า เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์บรมราชขัตติยะนารี รัตนกัญญา ลวะปุรีราเมศวร
ในปีพ.ศ.๑๒๐๒ สุกกทันตฤาษีผู้เป็นสหายกับสุเทวฤาษีที่เคยทำนายว่า พระนางจามเทวีเป็นผู้มีบุญญาบารมีเป็นอย่างยิ่ง ได้เดินทางมาขอพระนางจามเทวีจากพระเจ้ากรุงละโว้เพื่อให้ไปปกครองเมืองหริภุญชัย ซึ่งปัจจุบันคือจังหวัดลำพูน ที่พระฤาษี ๒ องค์นั้นได้สร้างขึ้น ซึ่งพระราชบิดาก็ทรงอนุญาต ในขณะนั้นเจ้าชายรามราชพระสวามีได้ออกบวชไปแล้ว และพระนางก็ทรงยินยอมที่จะขึ้นมาปกครองอาณาจักรหริภุญชัย โดยมีผู้มีความรู้ความสามารถทุกด้านติดตามมาเป็นจำนวนมากพอสมควร และได้อัญเชิญพระแก้วขาวซึ่งเชื่อกันว่าเป็นองค์เดียวกับที่ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบันนี้ และพระรอดหลวงซึ่งประดิษฐานที่วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน มาพร้อมกับพระองค์ด้วย
ตลอดรัชกาลที่พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรหริภุญชัยนั้น ได้สร้างความเจริญและยิ่งใหญ่ให้กับอาณาจักรเป็นอย่างมากจนเป็นที่เลื่องลือ อาณาประชาราษฎร์อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขยิ่ง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็แทบจะไม่มีสตรีเพศผู้ใดได้ขึ้นมาปกครองแผ่นดินในละแวกสุวรรณภูมินี้อีกเลย จนกระทั่งช่วงกลางของอาณาจักรอยุธยา มีการกล่าวถึงสตรีในราชสำนักอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทเป็นอย่างยิ่ง ในการผลักดันชายชู้เพื่อให้ขึ้นมาปกครองอาณาจักรอยุธยา นางผู้นั้นคือแม่อยู่หัวหรือแม่หยัวศรีสุดาจันทร์
ศรีสุดาจันทร์เป็นสนมเอกผู้เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระไชยราชาธิราช กษัตริย์พระองค์หนึ่ง มีพระราชโอรส ๒ องค์คือ สมเด็จพระยอดฟ้า และพระศรีศิลป์ เมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคต ไม่มีผู้สืบตระกูลที่มาจากพระอัครมเหสี จึงทำให้สมเด็จพระยอดฟ้าขึ้นครองราชย์แทนตามกฎมณเฑียรบาลแต่เนื่องจากมีพระชนม์เพียง ๑๑ พรรษา จึงไม่สามารถจะบริหารราชการแผ่นดินได้ แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ผู้ที่ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัยในการช่วยดูแลบ้านเมือง จึงได้ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
แต่เหตุการณ์อันไม่เป็นมงคลต่อแผ่นดินก็เกิดขึ้น เมื่อนางได้มีโอกาสพบกับพันบุตรศรีเทพ ข้าหลวงผู้มีหน้าที่ดูแลหอพระข้างหน้า เกิดอารมณ์พิศวาสซึ่งกันและกัน ได้เลื่อนตำแหน่งของพันบุตรศรีเทพให้เป็นขุนชินราช และให้มาดูแลหอพระข้างใน ซึ่งทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น จนในที่สุดก็ได้ลักลอบเป็นชู้ และได้เลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นขุนวรวงศาธิราช
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังได้สนับสนุนที่จะให้พันบุตรศรีเทพขึ้นมาครองราชย์ จึงได้มีการร่วมกันวางแผนประหารสมเด็จพระยอดฟ้า ซึ่งก็ทำการได้สำเร็จบริเวณวัดโคกพระยา ชานกรุงศรีอยุธยา แล้วได้สถาปนาให้ขุนวรวงศาธิราชขึ้นว่าราชการแผ่นดิน แต่ก็อยู่ได้เพียง ๔๒ วัน ก็ถูกขุนนางที่จงรักภักดีต่อแผ่นดินร่วมกันวางแผนสังหารเสียทั้ง ๒ คน
มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง โดยเหล่าขุนนางได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระเทียรราชาผู้เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ และเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ซึ่งขณะนั้นออกผนวชอยู่ กลับขึ้นมาครองราชย์แทน เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ แห่งอาณาจักรอยุธยา
ประเทศไทยมีการปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยองค์พระประมุข คือพระมหากษัตริย์ ซึ่งเมื่อเสด็จสวรรคตก็มีกฎมณเฑียรบาลกำหนไว้ว่าราชวงศ์พระองค์ใดจะขึ้นครองราชย์ต่อไปบางยุคสมัยอาจจะมีความแตกร้าว เกิดการแย่งชิงราชสมบัติ มีการปราบดาภิเษกเกิดขึ้น แต่ระบอบการปกครองนี้ก็ทำให้ชาติไทยยืนยงคงมั่นมาได้เกือบจะ ๘๐๐ ปีแล้ว
ในปีพ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เกิดการปฏิวัติ ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นพระประมุขของชาติ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยก็มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ชายมาเกือบทั้งหมด จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๕๔ ก็มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นสตรีเพศเป็นคนแรก ซึ่งเป็นนายกฯได้โดยการผลักดันของอดีตนายกฯผู้ต้องคดีทุจริตคอร์รัปชั่นต่อบ้านเมืองตามคำตัดสินของศาลและเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองมาแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าน่าจะถูกครอบงำในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากผลงานของการบริหารมีแต่ความล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดให้มีการจำนำข้าว ซึ่งก็มีความเชื่อมโยงในกระบวนการทุจริตที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล ชาวนาเสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเองเกิดขึ้นจำนวนไม่น้อย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องหนีความผิดไปอยู่ต่างประเทศ
แต่สิ่งที่นับว่าเลวร้ายไม่น้อยไปกว่ากัน คือการจัดการปัญหาน้ำท่วม ซึ่งถือว่าเป็นน้ำท่วมใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศในปี ๒๕๕๔ นั่นเอง ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของชาติอย่างมหาศาล มีประชาชนตกทุกข์ได้ยากเป็นจำนวนมากมายจนเป็นเรื่องที่ยากจะลืม
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของประเทศไทยหรือไม่ ทำให้ขณะนี้ ต้องมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นสตรีเพศอีกผู้หนึ่งมาบริหารกิจการบ้านเมือง ซึ่งก็เช่นเดียวกันคือ ไม่มีพื้นฐานในการบริหารกิจการใดๆของรัฐมาก่อนเลย เพียงแต่มีตำแหน่งหน้าที่ในบริษัทที่ตนเองบริหารอยู่ ซึ่งไม่อาจจะเอามายืนยันถึงความรู้ความสามารถที่เพียงพอต่อการบริหารประเทศได้
และก็ไม่ได้ต่างจากนายกฯหญิงคนก่อน ที่มาเป็นนายกฯโดยการผลักดันจากอดีตนายกฯที่เป็นนักโทษคนเดิม ประชาชนคนไทยจึงได้เห็นภาพของการบริหารในลักษณะที่ถูกควบคุมและครอบงำอย่างชัดแจ้ง ประกอบกับวุฒิภาวะที่น่าจะต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นประเด็นว่าบ้านเมืองของเรา จะตกอยูในสภาพย่ำแย่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่
การนำเงินของรัฐมาแจกจ่ายประชาชนบางส่วนในรูปแบบประชานิยม ก็เป็นเพียงเพื่อพยุงฐานเสียงของตนบางส่วนไว้เท่านั้น น่าเสียดายที่คนไทยจำนวนไม่น้อยหากได้รับเงินจากใครไปก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ จนกระทั่งขาดความเป็นตัวของตัวเองทั้งในเรื่องของความคิดและการปฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตยอย่างที่สุด
การบริหารของนายกฯหญิงคนนี้ผ่านไปพอสมควรแล้ว ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมในการที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ภาวะเศรษฐกิจก็ตกต่ำ ประชาชนจำนวนไม่น้อยเดือดร้อน อุตสาหกรรมขนาดย่อยล้มหายตายจากไปพอควร และอาจจะตามมาด้วยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็เป็นได้ อันอาจจะนำไปสู่ ความล่มสลายของประเทศชาติ
น่าจะใกล้เวลาเต็มทนแล้วที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง การบริหารบ้านเมืองโดยปราศจากทั้งความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และวุฒิภาวะที่เหมาะสม ทั้งยังถูกครอบงำโดยกระบวนความคิดที่มองถึงผลประโยชน์ของส่วนตนและพรรคพวก เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติเท่านั้น และหากแนวโน้มดังกล่าวมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่คงจะไม่ยอม อันจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่นำไปสู่การยุติบทบาทของนายกฯหญิงก็เป็นได้
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี