จากกรณีที่มีคลิปในโซเชียล เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาทหาร ของประเทศกัมพูชา ได้เข้ามาพูดคุยเจรจากับทหารไทย พร้อมใช้คำพูดการสนทนาที่ดุเดือด โดยคลิปดังกล่าวเป็นคลิปวีดีโอที่ฝั่งทหารไทย ได้บันทึกไว้ในขณะที่ทางฝั่งทหารกัมพูชาได้ขึ้นมาที่บริเวณลานทิศใต้ของปราสาทตาเมือนธม ในพื้นที่ ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ในเขตรอยต่อชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา โดยวันเกิดเหตุคือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 12.30 น. มีคณะทหารจากกัมพูชาและแม่บ้านจำนวนหนึ่ง ได้ขึ้นมาบนปราสาทตาเมือนธม ก่อนจะร้องเพลงชาติกัมพูชาแต่ทหารไทยไม่ยอมจึงมีการโต้เถียงกัน
ผู้บังคับบัญชาของทหารฝั่งประเทศกัมพูชา ได้พูดทั้งภาษาไทยและภาษาเขมรว่า “ห้ามไม่ให้ทหารฝั่งไทยเข้ามาเหยียบพื้นที่บริเวณนี้สักขาเดียว ถ้าจะยิงก็ยิง”
และฝั่งทหารไทยได้พูดตอบไปด้วยเหตุผลว่า “ผมมายืนตรงนี้เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา” ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาฝั่งทหารกัมพูชาจะตอบกลับขึ้นเสียงว่า “เดี๋ยวกูก็จะสั่งลูกน้องกูเหมือนกัน” หลังจากนั้นทหารเขมรก็ได้เดินกลับไปในเขตแดนของตัวเอง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2568 แหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า ผู้บังคับบัญชาทหารกัมพูชาดังกล่าว เป็นระดับนายพล นำคณะแม่บ้าน จำนวน 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ระหว่างการเยี่ยมชมได้มีการทำกิจกรรมร้องเพลงประจำถิ่น ทางชุดประสานควบคุมพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็น จนท.ทหารฝ่ายไทย ได้เข้าห้ามปรามขอให้กลุ่มฯ ได้หยุดการกระทำ ไม่สามารถปฏิบัติได้ จึงทำให้นายพลคนดังกล่าวไม่พอใจ จึงได้ต่อว่า จนท.ทหารฝ่ายไทย “ทำไมคนไทยสามารถปฏิบัติได้” จนท.ชุดประสานจึงได้ชี้แจงต่อนายพลคนดังกล่าว ว่าเป็นคำสั่งจาก ผบช.ชั้นสูง หลังจากนั้นคณะจึงได้เดินลงจากปราสาทตาเมือนธม ในระหว่างเดินลงจากปราสาท
ทั้งนี้ นายพลคนดังกล่าว ซึ่งได้มีอาการแสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อการเข้ามาห้ามปรามของ จนท.ทหารฝ่ายไทยจึงได้มีการสั่งการ ต่อชุดควบคุมพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นทหารฝ่ายกัมพูชา ว่า ต่อไปให้ชุดประสานควบคุมพื้นที่ฝ่ายกัมพูชา ทำการปฏิบัติและดำเนินการเช่นเดียวกับฝ่ายไทย ไม่ให้ลงไปบริเวณบันไดด้านทิศใต้ปราสาท ห้ามให้มีการทำกิจกรรมร้องเพลง “หากมีการยิงกัน ก็ยิง” จากนั้นจึงได้เดินลงกลับไปยังด้านล่างปราสาท
1) ก่อนหน้านั้น ช่วงเย็นของวันที่ 17 ก.พ.2568 พลตรีสมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ลงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือน โดยตรวจเข้มบริเวณโดยรอบตัวปราสาท พร้อมย้ำกำลังพลในพื้นที่ ห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา
ที่มีทหารชาวกัมพูชาพาคณะแม่บ้าน จำนวนกว่า 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมตัวปราสาทตาเมือน แล้วร่วมกันร้องเพลงชาติหรือเพลงปลุกใจของชาวกัมพูชาใดๆ ทั้งสิ้น
โดยกองกำลังสุรนารี เผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการทำหนังสือประท้วงการกระทำที่ไม่เหมาะสมไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชาและถือว่าเป็นหนังสือประท้วงถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นฉบับที่ 2 เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์คล้ายลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 โดยทางกองทัพก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ประเทศกัมพูชา แล้วครั้งที่ 1 และนี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์เดิมๆ เป็นครั้งที่ 2
โดยหนังสือประท้วงมีเนื้อหา ระบุว่า ด้วยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 กองกำลังสุรนารี ได้ตรวจพบว่ามีประชาชน ทหารกัมพูชา ทำการรวมกลุ่มยืนร้องเพลงบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เข้าห้ามปรามไม่ให้กระทำในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดถึงการปฏิบัติของทั้งสองฝ่ายในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม
กองกำลังสุรนารี จึงขอแสดงความไม่สบายใจต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในอนาคต จึงขอให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้ชี้แจงถึงการปฏิบัติในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ให้กับประชาชน หรือนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม ไม่ให้กระทำการในลักษณะดังกล่าวอีก ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความจริงใจ และความพยายามในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศต่อไป หน่วยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะได้รับความร่วมมือด้วยดีจากท่านเช่นที่ผ่านมา
2) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า พื้นที่ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนของไทย แต่พื้นที่คาบเกี่ยวกับพื้นที่ที่ยังปักปันไม่แล้วเสร็จ และฝ่ายไทยอนุโลมให้กัมพูชาขึ้นมาสักการบูชาได้ แต่ต้องไม่แสดงออกสัญลักษณ์ใดๆ
“การที่ทหารกัมพูชาขึ้นมาร้องเพลงชาติทำไม่ได้แน่นอน ฝ่ายไทยเข้าไปตักเตือนท้วงติง ไม่เช่นนั้นอนาคตจะเกิดปัญหา หากนำภาพถ่ายและคลิปไปกล่าวอ้างนอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาฝั่งกัมพูชาตามช่องทางคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว และกองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้วว่าอย่าให้เกิดขึ้นอีก เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและผิดตามข้อตกลง”
3) สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอุษาคเนย์ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ปราสาทตาเมือน เป็นกลุ่มปราสาทที่ตั้งอยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบไปด้วยปราสาท 3 หลัง ที่เรียงตัวจากพื้นที่ประเทศไทย ไปจนถึงชายแดนกัมพูชา คือ
1.ปราสาทตาเมือน หรือที่ในจารึกเรียกว่า“บ้านมีไฟ” ซึ่งเป็นที่พักคนเดินทาง
2.ปราสาทตาเมือนโต๊จ (ตาเมือนเล็ก) ซึ่งเป็น“อโรคยาศาล” หรือโรงพยาบาล
3.ปราสาทตาเมือนธม เป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย คือนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ มีรูปเคารพคือ “ศิวลึงค์”
ฝ่ายไทยอ้างว่า เขตแดนไทยนั้น อยู่ข้างหน้าปราสาทตาเมือนธม นั่นหมายความว่าปราสาททั้ง 3 หลัง อยู่ในเขตแดนไทย แต่ถ้าเราใช้กูเกิ้ลแมปจะเห็นว่า ตั้งแต่เลยปราสาทตาเมือนโต๊จไป เป็นเขตแดนของกัมพูชาถ้าเชื่อตามนี้ ปราสาทตาเมือนธมก็เป็นของกัมพูชาและฝ่ายกัมพูชาก็เชื่อแบบนี้
ล่าสุดปีที่แล้ว ผมไปปราสาทตาเมือนธม ขณะที่เดินชมปราสาท ทหารทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรก็เดินตามดูตลอด นั่นเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ปราสาทตาเมือนธม คือพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศนี้ ไม่งั้นทหารไทยคงไม่ยอมให้ทหารเขมร ข้ามแดนมาเดินตามดูผม
เรากับประเทศเพื่อนบ้าน ยังติดกับดักเรื่องเขตแดนและแผนที่ และมักใช้เรื่องนี้มาหาประโยชน์ทางการเมืองไม่ว่าไทยหรือเขมร เราต้องไม่ลืมว่า เขตแดนและแผนที่เป็นสิ่งสมมุติ และไม่มีชีวิต แต่มนุษย์ไม่ว่าทหารหรือชาวบ้าน ล้วนเป็นของจริงและมีชีวิต
เลิกวาทกรรมที่ว่า “จะไม่ยอมเสียแผ่นดินแม้ตารางนิ้วเดียว” เถอะครับ อย่าปลุกระดมเรื่องเขตแดนชาตินิยม จนนำไปสู่สงคราม เพราะในที่สุดแล้ว คนที่
เสียหายหรือเสียชีวิต คือทหารและชาวบ้านที่อยู่ชายแดน
ส่วนพวกที่รักชาติรักแผ่นดิน ส่งเสียงเรียกร้องปกป้องเขตแดน โดยไม่ดูหลักฐานข้อเท็จจริง ส่วนมากอยู่กรุงเทพฯและพนมเปญ ที่สำคัญคนพวกนี้ไม่เคยสูญเสียใดๆ จากสงครามที่ชายแดน
ฝากเรียนถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โปรดแก้ปัญหานี้ด้วยปัญญาและเมตตา โดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อเท็จจริง นั่นแหละถึงจะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสันติ
ถึงที่สุดแม้จะแก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้มันเป็นปัญหาต่อไป ยังจะดีกว่าที่จะไปก่อสงครามครับ
4) ตัวผมเอง นายจิตกร บุษบา มิกล้าอ้างตัวเป็นนักวิชาการอิสระใดๆ หรอก แต่อยากจะบอกคุณสมฤทธิ์ ว่า เราไม่ใช้ “กูเกิ้ลแมป” เป็นหลักฐานอ้างอิงทั้งทางวิชาการและทางกฎหมายครับ หากจะอ้างอิงโดยวิสัยของ“นักวิชาการอิสระ” กรุณาอ้างอิงกรณีที่ราชอาณาจักรไทย ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทตาเมือนธม เป็นโบราณสถานตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2478 ในสมัยที่อธิบดีกรมศิลปากรชื่อ “หลวงวิจิตรวาทการ” มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 หน้า 3712 วันที่ 8 มีนาคม2478 เรื่อง การกำหนดจำนวนโบราณสถานระดับชาติ และโบราณวัตถุบางส่วนก็จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
5) ย้อนไปดูข่าวเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 จากกระแสข่าวกรณีที่สมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะขึ้นชมปราสาทตาเมือนธม ที่ตั้งบริเวณ
อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่ากัมพูชาจะอ้างสิทธิพื้นที่ จนเกิดกรณีพิพาทซ้ำรอยปราสาทพระวิหารนั้น
นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร (ในขณะนั้น) กล่าวว่า ปราสาทตาเมือนธมอยู่ฝั่งไทย โดยกรมศิลปากรทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี 2478 หรือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ซึ่งที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะโดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอดอีกทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้สร้างเส้นทางเที่ยวชมสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย อย่างไรก็ตามหากกัมพูชาอ้างสิทธิการถือครองพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมจริง ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของเรา โดยใช้แผนที่ตามหลักสากล ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ
จึงงุนงงกับ “นักวิชาการอิสระ” ที่อ้าง “กูเกิ้ลแมป”แล้วออกมา “หล่อ” กับเรื่องนี้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี