สังคมไทยถูกวิพากษ์ว่าอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ เพราะมีการเล่นพรรคเล่นพวก เล่นเส้นเล่นสาย เป็นสังคมลูกท่านหลานเธอ สังคมแบบนี้จึงไม่เจริญก้าวหน้าโดยแท้จริง แต่จะมีสภาพแบบหัวมังกุท้ายมังกร เพราะคนดีมีความสามารถที่แท้จริง กลับไม่มีโอกาสได้รับหน้าที่หรือตำแหน่งบริหารที่สำคัญๆ ขององค์กร แต่คนที่เข้าไปรับหน้าที่ผู้บริหารองค์กร โดยเฉพาะองค์กรของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กลับเป็นพวกขาดๆ เกินๆ ไม่มีสติปัญญาแท้จริง ไม่มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ แต่เป็นกลุ่มคนที่ได้แรงหนุน แรงผลัก และแรงดันจากอำนาจที่ไม่ชอบธรรมให้เข้าไปกินตำแหน่งผู้บริหารองค์กรได้
ดังนั้น เราจึงเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าหน่วยงานราชการไทย และรัฐวิสาหกิจไทยเกือบทุกแห่ง ไม่มีความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ แต่ถึงกระนั้น หน่วยงานที่ดำเนินกิจการอย่างเดี้ยงๆ ด้อยๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ เพราะเป็นหน่วยงานที่ทำงานแบบผูกขาด ไม่ต้องแข่งขันกับคู่แข่ง แต่สำหรับหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีคู่แข่งขัน ก็จะพบว่าทำงานได้ด้อยประสิทธิภาพกว่าคู่แข่งหลายสิบหลายร้อยเท่า ดังปรากฏชัดว่าหน่วยงานหลักของไทยที่เคยทำงานแบบผูกขาด แต่เมื่อต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีความสามารถมากกว่า ก็ทำให้หน่วยงานของไทยต้องประสบสภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง ดังตัวอย่างชัดๆ คือหน่วยงานด้านโทรคมนาคม หน่วยงานด้านไปรษณีย์หน่วยงานด้านการบินพาณิชย์
หากปล่อยให้มีการแข่งขันกันอย่างจริงๆ จังๆ มากขึ้น ก็มีหวังว่าหน่วยงานผูกขาด เช่น การท่าอากาศยาน ก็คงมีหวังไปต่อไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้ธุรกิจชนิดนี้ถูกผูกขาด ไร้คู่แข่ง จึงทำงานแบบสบายๆ ไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่ง ดังนั้นการพัฒนาการให้บริการจึงน้อยและด้อยมาก เมื่อเทียบกับการให้บริการชนิดเดียวกันในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และแม้กระทั่งในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีความทันสมัย
เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุคที่ลูกคนดังมองเห็นว่าสามารถหาเงินได้ง่ายๆ หาเงินได้สะดวกง่ายดาย เพราะคิดเอาเองว่าเงินมันล่องลอยอยู่ในอากาศ จะคว้ามาครองเมื่อไรก็แสนง่ายดาย ดังนั้น เหล่าบรรดาลูกคนดังจึงไม่ค่อยสนใจทำงานในหน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจ แต่หันไปจับธุรกิจขายฝันสร้างวิมานในอากาศ โดยใช้ฐานของพ่อแม่ที่เป็นคนเด่นคนดัง คนมีตำแหน่งแห่งที่ใหญ่โตในภาครัฐ แล้วคนรุ่นใหม่ที่มีฐานเดิมของพ่อแม่ซึ่งเป็นคนดังเป็นตัวหนุนก็หันไปสร้างกรรมวิธีหาเงินแบบง่ายๆ แต่คำว่าง่ายในที่นี้หมายถึงเอาเงินคนอื่นมาเป็นของตนเองโดยง่ายดาย แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ ซึ่งอาจหมายถึงฉ้อโกงในที่สุด
หลายคนที่ติดตามข่าวประจำวันในระยะนี้น่าจะได้เห็นข่าวลูกคนดังกลุ่มหนึ่งถูกศาลพิพากษาจำคุกในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน วงเงินมูลค่าความเสียหายกว่า 1 พันล้านบาท แต่บางสำนักข่าวระบุว่าความเสียหายมากกว่า 5 พันล้านบาท โดยลูกคนดังกลุ่มที่ว่านี้เอาเงินคนอื่นไปทำธุรกิจด้านเงินดิจิทัล
เมื่อดูลึกลงไปถึงผู้ที่ร่วมอยู่ในกลุ่มที่ตกเป็นข่าว ก็พบว่าล้วนแล้วแต่เป็นลูกคนดังระดับประเทศทั้งสิ้น บางคนเป็นลูกของรัฐมนตรี บางคนเป็นลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ บางคนเป็นลูกของคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่ชอบเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจรัฐ
นี่คือตัวอย่างชัดๆ ของปัญหาที่เกิดในสังคมอุปถัมภ์ เพราะว่าคนกลุ่มนี้เป็นลูกคนดังระดับประเทศทั้งสิ้น เมื่อดูเนื้อในแล้วก็จะพบว่าเป็นกุมารของคนเด่นคนดัง คนสำคัญในวงการการเมือง และวงราชการทั้งสิ้น หากไม่เชื่อให้ตามไปดูนามสกุลของเหล่าผู้ถือหุ้น และเหล่าผู้บริหารบริษัทดูก็แล้วกัน แล้วจะพบว่าคนเหล่านั้นมีพ่อเป็นคนโคตรดังในสังคมไทย ส่วนจะดังด้านไหน ขอให้ไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน แต่บทสรุปคือการลงทุนกับลูกคนดัง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกฉ้อโกง เพราะไม่เคยมีใครรับรองว่าลูกคนดังไม่โกง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี