ในคำวินิจฉัยที่ ๔/๖๔ ของศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง “กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาในการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๖(๑)” ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า....
“รัฐสภามีอำนาจและหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนลงประชามติจะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว ต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
ต่อประเด็นดังกล่าว ผมได้เคยตั้งข้อสังเกตเรื่อง การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๖๐ นั้นขัดกับ กฎแห่งตรรกะ อย่างไร
.......ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ได้มีการจัดออกเสียงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๔ วรรคห้า บัญญัติไว้ ดังนี้
“การจัดให้มีการออกเสียงประชามติให้ออกเสียงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ....”
อย่างไรก็ตาม ตามหลักตรรกศาสตร์แล้ว การที่ประชาชนจะต้องออกเสียง “เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “ทั้งฉบับ” นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไป
ไม่ได้ ซึ่งวิเคราะห์ตามกฎตรรกะได้ ดังนี้
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๖๐ มีทั้งหมด ๒๗๙ มาตรา และมีประเด็นที่เกี่ยวข้องนับเป็นร้อยๆ กว่าประเด็น
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากว่าประชาชนผู้จะต้องออกเสียงลงประชามติที่จะต้องพิจารณาบางประเด็น บางมาตราของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้นจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถูกใจและไม่ถูกใจ
ไม่ใช่เรื่องแปลก หากว่าบางคนจะเห็นด้วยในบางมาตรา บางประเด็น และมีอีกบางประเด็นหรือบางมาตราที่ไม่เห็นด้วยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และความจริงก็ควรที่จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้
แต่การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ บัญญัติว่า “....ให้ออกเสียงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ....”
ถ้าอ่านกันอย่างผิวเผินๆ ก็อาจนึกว่าเป็นเพียงพลความ แต่ความเป็นจริงแล้ว คำว่า “ทั้งฉบับ”เป็นใจความที่เน้นไว้ในมาตรานี้อย่างชัดเจน แต่ที่เน้นคำนี้ไม่อาจที่จะหยั่งทราบถึงเจตนาที่แท้จริงได้แต่ข้อความ “ทั้งฉบับ” นี้ มีความชัดเจนอยู่ในบัตรการออกเสียงลงประชามติ (โปรดดูตัวอย่างบัตรการลงประชามติ)
แต่เป็นการบัญญัติให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นการพ้นวิสัย ด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และหลักตรรกะ ดังนี้
๑. ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่จะประชาชนออกเสียงประชามติมีสองประเด็น คือ
ประเด็นที่ ๑ ได้แก่ “ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช .... “ทั้งฉบับ”
ประเด็นที่ ๒ ที่มีความว่า......“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนด ไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
ในประเด็นที่ ๒ นี้มีข้อสังเกตว่า ได้เพิ่มเติมเข้ามาภายหลังและแม้จะเป็นประเด็นเดียว แต่ก็มีความไม่ชัดเจนและกำกวม คลุมเครือ ข้อสำคัญมีความหมายได้หลายนัย
ขอย้อนกลับมาในประเด็นที่ ๑ การให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ “ทั้งฉบับ” ย่อมประกอบด้วย คำปรารภที่มีหมวดและ ส่วนต่างๆ และบทเฉพาะกาลด้วย
หมวดต่างๆ แต่ละหมวด ย่อมประกอบด้วยมาตราต่างๆ
มาตราต่างๆ แต่ละมาตรานั้น แต่ละมาตราย่อมประกอบด้วยวรรคต่างๆ
วรรคต่างๆ แต่ละวรรคนั้น แต่ละวรรคย่อมประกอบด้วยประพจน์หรือประโยค (Statement) ต่างๆ
ประพจน์หรือประโยคต่างๆ แต่ละประพจน์หรือประโยคอาจเป็นสิ่งที่คนเห็นชอบหรือสิ่งที่คนไม่เห็นชอบ เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้เท่านั้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ จะเห็นชอบทุกประพจน์หรือทุกประโยค ซึ่งก็คือทุกมาตรา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นชอบทุกหมวด ทั้งฉบับ
อีกทั้งเป็นไปไม่ได้เลยที่ จะไม่เห็นชอบทุกประพจน์หรือทุกประโยค ซึ่งก็คือทุกมาตรา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ไม่เห็นชอบทุกหมวด ทั้งฉบับ
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา ตรงนี้จึงบัญญัติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นการพ้นวิสัยผลคือการนั้นตกเป็นโมฆะ
เพราะบัญญัติในสิ่งที่ไม่ดำรงอยู่จริง
ผลคือบัญญัติในสิ่งที่เป็นเท็จ ย่อมทำลายตัวเองใช้บังคับไม่ได้ ไม่ว่าผลการออกเสียงประชามติจะเป็นอย่างไร
๒. พิจารณาจากกฎตรรกะ (Logic)
(๒.๑) สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ใครบัญญัติสิ่งที่เป็นไปไม่ได้คือผู้ที่บัญญัติสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หรือบัญญัติความเป็นเท็จ
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่มาจากบทบัญญัติ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เฉพาะในส่วนดังกล่าวนี้ มาจากสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง นั่นก็คือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในส่วนนี้มาจากบทบัญญัติความเป็นเท็จ ประกาศใช้เมื่อใด ก็เป็นเท็จเมื่อนั้น ย่อมไม่มีผลใช้บังคับได้
(๒.๒) ทั้งฉบับ คือ ทั้งเซต (set)
หมวด คือ อนุเซต (subset) ของทั้งฉบับ
มาตรา คือ อนุเซตของหมวด
ประพจน์หรือประโยค คือ อนุเซตของมาตรา
เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบทั้งฉบับ = เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบทุกประพจน์หรือทุกประโยค ซึ่งมีเป็นร้อยๆ พันๆ ประพจน์หรือประโยค
เป็นไปไม่ได้ หรือเป็นการพ้นวิสัยที่บุคคลจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบทุกประพจน์หรือทุกประโยค
ดังนั้น ข้อเสนอแนะก็คือ...ถ้าจะมีการยกเลิกหรือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและจะต้องมีการทำประชามติ
ถ้าการเป็นว่าต้องการให้ “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ” ที่ไม่ขัดต่อหลักกฎหมายและกฎตรรกะก็ตามทีโดยตัดคำว่า “ทั้งฉบับ” ออกไป เหลือเพียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในรัฐธรรมนูญ เพียงเท่านี้จะมีคำว่า “ทั้งฉบับ” ตามมาไม่ได้
เช่น ในมาตรา ๑๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่บัญญัติในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของวุฒิสภาจะต้องให้ความ “เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ” เท่านั้น ไม่มีคำว่า“ทั้งฉบับ” แต่อย่างใด เป็นการบัญญัติที่ถูกทั้งหลักกฎหมายและกฎตรรกะ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สมาชิกทุกคนจะต้องเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ร่างงบประมาณรายจ่ายทุกวงเงินและทุกรายการที่มีหลากหลาย
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี