ตั้งแต่ทางการไทยตัดกระแสไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเตอร์เนตที่เคยส่งไปยังแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติในฝั่งพม่าใกล้ชายแดนไทย 5 จุด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พร้อมกับซีลชายแดน ปิดกั้นกวดขันช่องทางธรรมชาติ ที่มีนับพันจุดตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า จากแม่สายจังหวัดเชียงรายไปถึงด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรีและกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI หาหลักฐาน ขอศาลออกหมายจับ หม่องชิตตูกับพวกในข้อหาสมคบอาชญากรข้ามชาติ
หม่องชิตตู ผู้เป็นตัวก่อการสำคัญ การสร้างนิคมอาชญากรรมในเมืองชเวโก๊กโก่ และพี.เค.ปาร์คเขตเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สหภาพพม่าที่กลายเป็น กองบัญชาการใหญ่ในการค้ามนุษย์ ฟอกเงิน ค้ายาเสพติดและแหล่งหลอกลวงฉ้อโกงทางไซเบอร์ หรือ “คอลเซ็นเตอร์” เมื่อถูกทางการไทยทำท่าขึงขังปราบปรามจริงจัง
หม่องชิตตู ซึ่งเป็นนักแสดงตลบตะแลง ตัวสำคัญก็ทำเป็นอ่อนข้อแก่ทางการไทย โดยการส่งตัวผู้ที่อ้างว่า ถูกหลอกไปเป็นทาสยุคใหม่มาให้ทางการไทยชุดละหกเจ็ดสิบคนบ้าง ชุดละสองร้อยกว่าคนบ้าง ที่ทางการตรวจสอบ พบว่ามีเพียง 1% เท่านั้นที่ถูกหลอกไปใช้งาน นอกจากนั้นสมัครไปทำงานในบ่อนพนันและขบวนการหลอกลวงออนไลน์
ล่าสุด มีรายงานว่า กะเหรี่ยง BFG เตรียมส่งเหยื่อหลายสัญชาติมาให้ไทยอีกกว่า 5,000 คน ทำให้เกิดความกังวลว่า หากประเทศไทยรับไว้ เท่ากับรัฐบาลไทยหลงกลแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ที่รับคนที่อ้างว่าเป็นเหยื่อเหล่านั้นไว้ในประเทศไทย เพราะ หม่องชิตตูมือทำงานของจีนสีเทา รู้ว่า ส่งคนจีนนับพัน นับหมื่นคนมาฝากไว้ในประเทศไทย เครือข่าย หม่องชิตตูและไทยสีเทา ในประเทศไทย สามารถทำให้คนจีนที่แก๊งอาชญากรรม ส่งเข้ามา ถูกกลืนหายไปในสังคมเปิดของไทยในเวลาไม่ช้าไม่นาน
หม่องชิตตู และ ผู้สมรู้ร่วมคิด ในแก๊ง 14K รู้ว่า หากส่งคนที่อ้างเป็นเหยื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจีนไปให้ทางการพม่า พม่าก็จะส่งตัวต่อไปให้จีนแผ่นดินใหญ่ดำเนินคดีทันที ตามที่นายหลิวจงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะจีนตกลงกับทางการพม่า
หนังสือพิมพ์ นิวไลท์ ออฟเมียนมา สื่อทางการของพม่า รายงานว่า วันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายหลิวจงอี้ และคณะรวมทั้ง ทูตจีนประจำเมียนมา ได้เข้าพบ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อูตัน ส่วย เพื่อร่วมการเจรจาทวิภาคี เมียนมา-จีน
สื่อทางพม่ารายงานว่า การเจรจาในกรุงเนปิดอว์ครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้องระหว่างเมียนมาและจีนที่มีอยู่ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดำเนินการโครงการความร่วมมือทวิภาคีต่อไป ส่งเสริมความร่วมมือทางกฎหมายเพื่อ#ปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองประเทศเพื่อร่วมกันต่อต้านการพนันออนไลน์ และเครือข่ายฉ้อโกงในพื้นที่ชายแดน เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือไตรภาคีเมียนมา-จีน-ไทย รวมถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ พวกเขามีการสนทนาอย่างจริงใจและเปิดกว้าง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในประเด็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน เมียนมา-จีน-ไทย ต่อไป
จะเห็นได้ว่า หลิว จงอี้ มือปราบอาชญากรรมของจีน เจรจากับรองนายกรัฐมนตรีพม่า เรื่องความร่วมมือไตรภาคี จีน พม่า ไทย นั่นหมายความว่า จีนต้องการให้พม่าจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรม ตามแนวชายแดน ไม่ใช่ปล่อยให้ประเทศไทยปราบปรามอยู่ฝ่ายเดียว
ทางการจีน รู้ว่า พม่าร่วมมือกับจีนและประเทศไทย อย่างจริงจัง จึงสามารถขจัดตัวการสำคัญของอาชญากรรมข้ามชาติได้ เหมือนกับที่จีน-พม่า ร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ในเมืองเล่าก์ก่ายเมื่อปีกลาย ซึ่งสามารถกำจัด#โป๋ โส่วเฉิง ตัวการใหญ่เมืองเล่าก์ก่าย และ สมุนบริวารได้หลายราย
เด็ดหัวตัวการใหญ่เมืองเล่าก์ก่ายจึงขจัดการอาชญากรรมข้ามชาติที่นั้นได้ฉันใด ก็ต้องเด็ดหัวตัวการใหญ่ใกล้ชายแดน จึงปราบอาชญากรรมข้ามชาติใกล้ชายแดนไทยได้ฉันนั้น หม่องชิตตู ไม่ใช่ตัวการใหญ่ แก๊ง 14K ก็จริง แต่ปัจจุบันถือได้ว่า เขาเป็นตัวละครสำคัญ ในขบวนการ 14K
หม่องชิตตู หรือ ซอชิตตูอดีตทหารกะเหรี่ยงขบถที่แยกตัวจาก สหพันธ์กะเหรี่ยงแห่งชาติหรือKNU ไปจัดตั้งเป็น กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยหรือ DKBA ในปี 2543 DKBA เป็นแนวร่วมกองทัพพม่าต่อสู้กับ KNU อยู่หลายปี และในยุครัฐบาล ออง ซานซู จี พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย มอบหมายให้ พ.อ.ซอชิตตู และกะเหรี่ยง BGF บริหารพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา จึงได้มีการเชื้อเชิญกลุ่มนักลงทุนชาวจีน มาสร้างโครงการเมืองใหม่ ชเวโก๊กโก่เป็นแห่งแรก ตามมาด้วยเมืองใหม่ เคเคพาร์ค
ปี 2564 พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ ได้สั่งปลด พ.อ.ซอชิตตู พ.ท.โม้โต่งและ พ.ต.เต่งวิน ออกจากตำแหน่งผบ.กรม BGF เพราะมองว่า แก๊งนี้ร่ำรวย และเติบโตแบบก้าวกระโดด
เวลานั้น 3 สหายกะเหรี่ยงเทา ซึ่งเป็น ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ชั่งใจคิดว่า จะนำกำลังพลกลับไปเป็น กองกำลัง DKBA ดีหรือไม่ สุดท้ายกลุ่มทุนจีนเทาก็เคลียร์ปัญหาให้ ด้วยการจ่ายส่วยรอบวง
หม่องชิตตู ฉวยโอกาสนี้แสดงละครฉากใหญ่ทำเป็นว่าตัวเองเลิกเป็น BGF และ DKBA ออกไปตั้งกองกำลังกลุ่มใหม่ชื่อกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง Karen National Army หรือ KNA แต่ในความเป็นจริง DKBA BGF และ KNU เป็นเนื้อเดียวกันที่นำทีมบริหาร โดย หม่องชิตตู
ดังที่ทราบกัน เมืองบาปริมน้ำเมย ดำรงอยู่ได้เพราะเม็ดเงินมหาศาลจากอาชญากรรมไซเบอร์ ที่มีส่งส่วยให้ทั้งเนปิดอว์ บิ๊กบอส KNU และบิ๊กบอสฝั่งไทย หลิว จงอี้ มือปราบอาชญากรรม ที่มาชี้เป้าให้ทางการไทยจัดการกับไทยสีเทา จีนเทาทั้งในประเทศไทย และในเมืองชายแดนพม่า หลิว จงอี้ต้องมีข้อมูลเต็มแฟ้มว่าแก๊งอาชญากรรมไซเบอร์ ส่งส่วยให้ ทั้งบิ๊กบอส ในเนปิดอว์ บิ๊กบอส กะเหรี่ยง KNU และบิ๊กบอสในประเทศไทย ดังนั้นเมื่อพบว่าทางไทยเริ่มปฏิบัติการ ตามเป้าหมายที่เขาชี้ให้ หลิว จงอี้ จึงออกจากประเทศไทย ไปชี้เป้าหมายให้รัฐบาลทหารพม่า
เชื่อว่า รัฐบาลทหารพม่า ที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน และกล่าวหาว่า อาชญากรรมข้ามชาติเฟื่องฟูขึ้นมาได้ในเมืองชายแดนพม่า เพราะใช้ประเทศไทย เป็นทางผ่าน และได้รับปัจจัยสำคัญจากประเทศไทย แต่หลังจาก หลิว จงอี้ ไปชี้เป้าให้ หรือไปฉีกหน้าว่าผู้ใหญ่ระดับบอสใหญ่ในพม่า รับส่วยจากจีนเทามาก กว่าบอสใหญ่ในประเทศไทย จึงถึงเวลาที่พม่าต้องเทคแอ๊กชั่น จัดการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง
การจับตัว หม่องชิตตู จึงเป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลทหารพม่าไม่ใช่ภาระหน้าที่ของไทย เมื่อพบพลเอกมิน อ่อง หล่าย สร้างปีศาจร้ายขึ้นมา จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลทหารพม่า ต้องปราบปีศาจร้ายตนนั้น ไม่ใช่ผลักภาระมาให้ประเทศไทย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี