ในช่วงที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นสัมภเวสีหนีโทษในคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองอยู่ต่างแดน มักจะบินด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวโฉบไปโฉบมาในละแวกประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทยอยู่เป็นประจำ
โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา ที่อดีตนักโทษผู้นี้จะบินมาบ่อย เพราะเป็น“สหายรัก”และเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของสมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเวลานั้น ซึ่งนึกดูแล้ว ก็ยังเห็นภาพทักทาย“กอดกันกลม” อันแสดงถึงความรักใคร่กันสุดจะประมาณได้ ระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร” กับฮุน เซน
และภาพนี้สังคมในโลกโซเชียลได้นำมาล้อเลียนเปรียบเทียบ กับภาพการกอดรัดของ“ตัวเงินตัวทอง”ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก แล้วก็แชร์กันเป็นไวรัล กลายเป็นภาพขำฮา และเป็นภาพขำไม่ออกสำหรับคนที่รักทักษิณ
ที่พูดเรื่องนี้ เพราะนับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เหมือนกับเป็นเพียงแค่เส้นบางๆ ซึ่งบางครั้งก็แทบจะขาดผึงออกจากกัน กลับปรากฏว่า มีปัญหากระทบกระทั่งในทางความคิดระหว่างประชาชนชาวกัมพูชากับคนไทยกันมากขึ้นและบ่อยครั้ง
เรื่องเกาะกูด ที่จังหวัดตราด จะเห็นได้ชัด แม้ฝ่ายไทยจะนั่งยันนอนยัน ว่าเป็นของไทยล้านเปอร์เซ็นต์ แต่คนเขมรหรือประชาชนชาวกัมพูชากลับไม่ได้คิดเหมือนกับคนไทยและรัฐบาลไทย โดยสะท้อนผ่านสื่อในกัมพูชา ว่าเกาะกูดเป็นของเขมร ซึ่งยึดประกาศเส้นเขตแดนทะเลที่กัมพูชาประกาศในปี 2515 ขณะที่ฝ่ายไทยเห็นว่าเส้นเขตแดนทะเลที่กัมพูชาประกาศนั้นขัดกับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และเกาะกูดเป็นของไทย
ยิ่งเมื่อได้ฟังจาก“มาดามแพทองโพย”นายกรัฐมนตรีของไทย ที่มักจะประกาศย้ำในหลายๆ โอกาสว่า รัฐบาลนี้ซึ่งก็หมายถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย“จะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” แต่ก็ขัดกับความเห็นของตัวเธอเองที่บอกว่า “เรื่องเกาะกูดระหว่างไทยกับกัมพูชา เราไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยมีข้อสงสัยด้วย อาจจะแค่เกิดความเข้าใจผิดกันในประเทศไทย ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย”
คำพูดของ“มาดามแพทองโพย” ที่ว่า“อาจจะแค่เกิดความเข้าใจผิดกันในประเทศไทย” จึงตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยว่า เสียงคัดค้านของคนไทยที่เห็นว่า ไทยอาจจะเสียเขตแดนทะเลบริเวณเกาะกูด เหมือนกับเสีย“ปราสาทเขาพระวิหาร”และบริเวณโดยรอบให้แก่เขมร จึงเรียกร้องให้ยกเลิก“MOU44”ที่ไทยลงนามกับกัมพูชาในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นั้น..เป็นความเข้าใจผิดของคนไทยว่ามีปัญหา และย้อนแย้งกับความคิดของคนเขมรที่เห็นว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา
จากปัญหาเกาะกูดถึงวันนี้ก็ยังไม่จบ..และคาราคาซังกันอยู่ ด้วยเหตุที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดย“มาดามแพทองโพย” ซึ่งพูดให้ถูกต้องก็คือ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่เป็นนายกรัฐมนตรีทับซ้อน ได้เก็บข้อเรียกร้องของประชาชนที่เสนอให้ยกเลิก“MOU44”ซุกไว้ในลิ้นชัก รวมไปถึงเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค หรือ JTC ก็พลอยเงียบไปด้วย
ล่าสุดก็เหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์สัปดาห์ก่อน เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างทหารไทยกับ“นายพลจัตวาเนี๊ยะ วงษ์” หรือ พล.จ.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.พลน้อย.ร.42 ของกัมพูชา ซึ่งได้นำคณะแม่บ้านจำนวน 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พร้อมกับมีการร่วมร้องเพลงปลุกใจชาติตัวเองภายในปราสาทตาเมือนธม แต่ฝ่ายทหารไทยไม่ยอม เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงเกิดการโต้เถียง ถึงขนาดที่นายพลของฝ่ายเขมรได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่พูดท้าทายออกมาว่า “ถ้าจะยิงก็ยิง(กัน)”
แม้ว่าเรื่องนี้จะจบแบบ“แฮปปี้เอนดิ้ง” ระหว่างสองเกลอสหายรัก คืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีทับซ้อน..ที่เป็นบิดา“มาดามแพทองโพย”นายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ของไทย กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเป็นบิดาของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ด้วยการสั่งให้ทหารไทยกับกัมพูชา“จับมือ-จูบปากกัน”
โดยเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พล.จ.เนี๊ยะ วงย์ ได้นำนายเนียม จันญาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย และคณะส่วนราชการในพื้นที่ของกัมพูชา 40 คน เข้าเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม พร้อมทั้งพบปะพูดคุยกับฝ่ายไทย โดยมี พ.ท.จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผบ.พัน.ร.21 กองกำลังสุรนารี และชุดประสานงานปราสาทตาเมือนธม ซึ่งฝ่ายกัมพูชาแจ้งว่า ให้ดำรงการปฏิบัติงานร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย เหตุการณ์ที่ปรากฏทางสื่อก็ให้เป็นเรื่องของนักข่าว แต่กำลังของทั้งสองฝ่าย ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พร้อมปฏิบัติงานร่วมกันเหมือนที่เคยปฏิบัติมา
สรุปก็คือ กลายเป็นว่าปัญหากระทบกระทั่งอันเนื่องมาจากการไม่เคารพอธิปไตยเหนือดินแดนไทยในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ถึงขั้น“จะยิงก็ยิง(กัน)”นั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของสื่อคือนักข่าว แต่ทหารเขมรกับทหารไทยยัง“รักกันดูดดื่ม”เหมือนเดิม
และที่สำคัญจากเหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธมเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ตามข่าวที่ปรากฏในหน้าสื่อของกัมพูชานั้น ได้ทำให้“ท่านนายพลเนี๊ยะ”กลายเป็น“ฮีโร่” เรียกว่าเป็น“พระเอกขวัญใจ”ของประชาชนชาวกัมพูชาขึ้นมาทันทีทันใด
อย่างไรก็ดี สำหรับความรักระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร” กับ “สมเด็นฮุน เซน” นั้น คิดดูอีกทีก็รู้สึกเสียวๆ หากวันหนึ่งที่ทักษิณจะต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ทับซ้อน ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี