การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้านี้ ถูกมองว่าน่าจะเป็นเกมการเมืองที่พรรคร่วมรัฐบาลคงจะใช้การอภิปรายครั้งนี้ เพื่อล้างแค้นหรือตอบโต้กันเองมากกว่า เพราะเมื่อดูจากรอยปริร้าวภายในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่า พรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะ พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย เปรียบเสมือนผัวเมียนอนบนเตียงเดียวกัน แต่หันหลังให้กัน แล้วไม่ใช่เพียงหันหลังให้กันเท่านั้น แต่ต่างฝ่ายต่างกำมีดพกไว้คนละด้าม เราพร้อมที่จะกระหน่ำแทงกันและกันตลอดเวลา
ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับพรรคเพื่อไทย
เพราะฉะนั้นแค่ดูความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรค คือพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเปรียบเสมือนการนำศัตรูทางการเมืองเข้าไปขังไว้ในกรงเดียวกัน
แล้วเมื่อศัตรูทางการเมืองที่ต้องสวมหน้ากากของความเป็นมิตร จำเป็นต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะมีผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ก็จึงเป็นเสมือนการทำศึกสงครามกันตลอดเวลา
แม้ขนาดนี้จะยังไม่มีใครทราบชัดเจนว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ผู้ที่จะถูกฝ่ายค้านพุ่งเป้าอภิปรายจะเป็นใครบ้าง แต่ก็มีผู้คาดการณ์ว่าหนึ่งในจำนวนของผู้ถูกอภิปรายน่าจะมีชื่อของนายกรัฐมนตรี เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธารชินวัตร ก็ยังไม่เคยปรากฏว่าบริหารประเทศให้เจริญรุ่งเรือง แต่ขณะเดียวกันกลับพบว่าไม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้
เท่านั้นยังไม่พอยังพบอีกว่าแพทองธารไม่สามารถคลี่คลายปัญหาของประเทศชาติได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาความมั่นคงของประเทศ
สำหรับประเด็นปัญหาความมั่นคงนั้น สังเกตเห็นได้ชัดจากกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นโบดำของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งอันที่จริงก็ต้องยอมรับว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้ารัฐบาลชุดนี้ แต่ฝีกลับมาแตกในรัฐบาลชุดปัจจุบันจนทำให้ทางการจีนถึงกับไม่สามารถอดทนอีกต่อไปจนต้องส่งหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เข้ามาจัดการเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
และการเข้ามาของมือปราบหลิว ก็คือสิ่งที่ทำให้สาธารณชนเห็นว่า มีความขัดแย้งบาดหมางในเรื่องการทำงานภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย เพราะกว่าจะสั่งตัดไฟฟ้าที่ส่งเข้าไปในเขตเมียวดี ในดินแดนเมียนมาได้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันอย่างชัดเจนระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งอันที่จริงต้องบอกว่าเป็นความขัดแย้งกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการของกระทรวงทั้งสอง ซึ่งต่างฝ่ายต่างมาจากพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย
แต่เมื่อทางการไทยสั่งตัดไฟฟ้าที่ส่งเข้าไปในเขตเมียวดีแล้ว ก็กลับกลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยสามารถชิงความได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคภูมิใจไทย โดยจะเห็นได้ว่า ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พยายามแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายของตนได้แสดงบทบาทนำในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของกลุ่มจีนสีเทา
กระทั่งเมื่อวันที่แพทองธารเดินทางไปพบสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนที่กรุงปักกิ่ง เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเปรียบเสมือนการไปรายงานให้ประเทศจีนเห็นถึงความตั้งใจทำงานของฝ่ายไทยที่ต้องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน ซึ่งประเด็นนี้ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าหากฝ่ายไทยไม่ถูกรัฐบาลจีนกดดันอย่างหนัก คงจะยังไม่ตื่นตัวและกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เพราะฉะนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอีกไม่เกินหนึ่งถึงสองเดือนจากนี้ก็จึงเปรียบเสมือนการที่พรรครัฐบาลจะเล่นงานกันเอง โดยกระทรวงที่น่าจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็น่าจะได้แก่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่น่าจะพลาดจากการถูกอภิปราย ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีนั้นไม่มีทางหลุดรอดจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างแน่นอน
หากจะถามว่าแล้วพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยตรงจะมีบทบาทใดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้อย่างเป็นรูปธรรมบ้าง ก็คงต้องตอบว่าเพราะพรรคประชาชนก็คงจะต้องเล่นไปตามบทของพรรคฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามซึ่งก็คือรัฐบาล แต่หลายคนก็ยังคงตั้งข้อสังเกตว่าพรรคประชาชนจะทำหน้าที่ได้อย่างแข็งขันมากน้อยเพียงใดกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็อาจจะแค่เห็นว่าประชาชนทำเสมือนเล่นละครการเมืองเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่สาธารณชนเห็นชัดเจนก็คือ ไม่เคยเห็นพรรคประชาชน หรืออดีตก็คือพรรคก้าวไกลตั้งใจตรวจสอบหรือเอาจริงเอาจังกับกรณีทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ตรงกันว่าไม่ติดคุก และไม่ป่วยจริง แต่กลับอ้างว่าป่วยหนักจนต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลากว่าหกเดือนที่โรงพยาบาลตำรวจ
ในขณะที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่เกิดขึ้น แต่ผู้ที่ติดตามข่าวการเมืองของไทยก็ได้พบว่ามีรอยปริร้าวเพิ่มมากขึ้นภายในพรรคร่วมรัฐบาลดังเกณฑ์ได้จากพฤติกรรมการออกมาแสดงบทบาทคล้ายศัตรูการเมือง โดยสามารถสังเกตได้จากคำพูดของทักษิณ กับคำพูดของอนุทิน และนอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากการขวางกันเองในเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญ และนโยบายกาสิโน รวมไปถึงเรื่องกัญชาเสรี
ข้อสังเกตดังกล่าวเป็นเพียงปฐมบทที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันภายในภาพรวมรัฐบาลขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องจับตาดูการเจรจาต่อรองทางการเมืองเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ที่กำลังดำเนินอย่างเข้มข้น
เพราะในข้อเท็จจริงนั้นไม่มีพรรคการเมืองใดต้องการเป็นฝ่ายค้าน โดยหลายคนติดตามการเมืองไทยยังคงจำได้ติดหูว่า เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง และคำพูดที่ว่านี่ก็จะเป็นความจริงตลอดไปสำหรับนักการเมืองไทยที่เข้ามาอยู่ในวงการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของสาธารณะ
จับตาดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นให้ดี แล้วจะได้เห็นชัดว่าการร่วมรัฐบาลของพรรคการเมืองที่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆต่อประเทศชาติแม้แต่น้อย แต่ที่ต้องดูให้ชัดมากยิ่งกว่าก็คือแล้วพรรคร่วมรัฐบาลจะแสดงบทบาทเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจนและรุนแรงมากเพียงใด รอดูอีกไม่กี่วันก็คงทราบ แต่กว่าจะถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถเห็นชัดเจนแล้วว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้มีความเป็นเนื้อ เพราะในความเป็นจริงแล้วมันคือการจับมือร่วมกันของศัตรูทางการเมืองเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี