เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 ก.พ.2568) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางลงพื้นที่ด้วย
ดูเผินๆ นึกว่าทักษิณ เป็นนายกฯ ตัวจริง
1.นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่า ตนลงพื้นที่ครั้งนี้ ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งให้ความสำคัญกับสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งใจมาดูสถานการณ์ในปัจจุบัน และอยากมาดูมารับฟังด้วยตัวเองว่าเป็นสถานการณ์เป็นอย่างไร
“จะมาสานงานที่ทำไว้เมื่อครั้งเป็นนายกฯ ก็อยากจะเห็นว่า เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นและการดูแลแก้ไขปัญหาใช้เวลานานมากก็ยังไม่ยุติเสียที มันก็ควรจะยุติได้ในสมัยรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลเพื่อไทย และลูกสาวผมเป็นนายกรัฐมนตรี” -ทักษิณกล่าว
นายทักษิณยังย้ำอีกด้วยว่า การเดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้มาใน 3 สถานะ คือ 1.สถานะของที่ปรึกษาประธานอาเซียน 2.ในสถานะอดีตนายกรัฐมนตรี และ3.ในฐานะตัวเเทนพรรคเพื่อไทยที่ได้เป็นรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี
“หลังจากนี้ความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีมากขึ้นในการเเก้ปัญหาสามจังหวัดชายเเดนภาคใต้ โดยจะมีความก้าวหน้าในการพูดคุยสันติสุข ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซียเองก็อาสาที่มาช่วยพูดคุยด้วย รวมถึงตัวผมเองก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่” – ทักษิณกล่าว
2.นายทักษิณได้กล่าวขอโทษพี่น้องประชาชน ต่อความผิดพลาดเหตุการณ์ตากใบ ระบุว่า
“ตอนผมเป็นนายกรัฐมนตรี มีความตั้งใจและห่วงใยประชาชน 100% แต่การทำงานก็มีผิดพลาดได้บ้าง ถ้ามีอะไรผิดพลาด ที่ไม่พอใจ ก็ขออภัยด้วย ให้ช่วยกัน เผื่อแก้ปัญหาช่วยกัน ซึ่งคนมุสลิมจะมีสิ่งที่สำคัญมาก คือ ความเข้าใจเกรงใจเเละการให้อภัย ผมก็ขออภัยด้วย” – นายทักษิณกล่าว
3.เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ในยุครัฐบาลทักษิณ เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ มีผู้เสียชีวิตรวม 78 คน
โดยในระหว่างปี 2547 – 2566 ไม่ได้มีความคืบหน้าในการดำเนินคดีใดๆ กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องรับผิดชอบกับการตายของผู้ชุมนุม
ปัจจุบัน จำเลยคนสำคัญลอยนวล เพราะไม่ได้ตัวมาฟ้องศาลในอายุความ
คดี อ.578/2567 ที่ญาตินายอาแวเลาะ ปะจูกูเล็ง ผู้ตาย กับพวกรวม 48 คน จากเหตุการณ์สลายม็อบตากใบ เมื่อปี 2547 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรีอดีตเเม่ทัพภาค 4 กับพวก
จำเลยที่ 1 คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในสมัยนี้เอง
รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ไม่สามารถติดตามตัว พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มาส่งฟ้องศาลได้ในอายุความ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2565 ทักษิณเคยกล่าวถึงเหตุการณ์ตากใบ ระหว่าง live กลุ่มแคร์ โทนี่ วู้ดซัม ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมเล่าว่าเมื่อ 18 ปีที่แล้ว วันนั้นขณะเกิดเหตุได้ตีกอล์ฟอยู่ย่านบางนา และได้รับรายงานว่ามีการไปล้อมโรงพักเพื่อจะให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่านำอาวุธไปส่งให้กับผู้ก่อความไม่สงบ ทางตำรวจได้มาถามว่าจะทำยังไง ซึ่งได้บอกไปว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีการล้อมอยู่นาน ผลสุดท้ายการที่เจ้าหน้าที่ใช้น้ำฉีดและมีการปะทะกัน ซึ่งน่าจะมีผู้เสียชีวิต 6 คน ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายปกครอง ตำรวจ และช่วงนั้นทหารนิดหน่อย หลังจากนั้นก็มีการสลายชุมนุม และมีการจับกุมผู้ที่มาชุมนุมไป แต่หลังจากนั้นไม่รู้เลยว่าจับยังไง เอาไว้ที่ไหน ไม่มีใครรายงาน มารู้อีกทีก็มีการตายเกิดขึ้น
“..ผมก็อ้าว ทำไมถึงตาย มันจบไปแล้วที่นั่น แล้วทำไมมีการตายอีก ปรากฏว่า มีการลำเลียงผู้ต้องหาที่อ่อนล้ามาทั้งวัน เพราะเป็นช่วงที่ถือศีลอดช่วงรอมฎอน และแทนที่จะเอาไปไว้ในรถบรรทุกดีๆ กลับแต่เอาไปซ้อนกัน
ผมคิดว่ามนุษย์ทั่วไปไม่น่าจะคิดเอาไปซ้อนกันได้อย่างนั้น มันก็ขาดอากาศหายใจ ก็ตายบ้าง เจ็บบ้าง
ผมมารับรู้รายงานทีหลัง ก็เสียใจ ทำไมมันซื่อบื้อขนาดนี้ ผมก็เป็นคนเกลียดคนโง่อยู่แล้ว พอทำอะไรพวกนี้ผมก็ด่า วันนั้นก็ไม่รู้อะไรลึกกว่านี้ รู้ที่รายงานมาแบบนี้ เสร็จแล้วผมก็โดนเกลียดชัง โดนโกรธจากมุสลิมที่นั่น..
...ถึงแม้ผมจะไม่ได้สั่งการ แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ผมต้องขอโทษ ขออภัย ญาติพี่น้องผู้ที่สูญเสียในครั้งนั้นด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการผิดพลาดอย่างแรง ของการลำเลียงผู้ต้องหาแบบนั้นตอนหลังมาวัวหายแล้วล้อมคอก มาซื้อรถกันผู้ต้องหาหลบหนี…” – ทักษิณกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
4. เหตุการณ์ตากใบ แม้ไม่มีหลักฐานว่าทักษิณรู้เห็นสั่งการโดยตรง แต่ทักษิณไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ในฐานะนายกฯ ขณะนั้น
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นนายกฯทักษิณที่สั่งการเชิงนโยบาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในการจัดการกับปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ จนผิดทิศผิดทาง
เกิดเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย ไฟใต้ลุกโชนในยุครัฐบาลทักษิณนั่นเอง ต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ในยุครัฐบาลทักษิณ มีการใช้ความรุนแรงนอกระบบกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่รัฐทำให้ไฟใต้โหมกระพือ เกิดเหตุความสูญเสียหลายเหตุการณ์ ทั้งตากใบ กรือเซะการอุ้มหาย ฯลฯ
สำหรับเหตุการณ์ตากใบ หากไม่อยู่บนพื้นฐานข้อมูลและการจัดการที่ผิดพลาด ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงเกินเหตุ ก็คงจะไม่สูญเสียมากขนาดนั้น
ในเหตุการณ์ตากใบ เจ้าหน้าที่ทางการใช้วิธีปิดล้อม สลายการชุมนุม กวาดจับกุมผู้ชุมนุมกว่า 1,300 คน แล้วขนผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวไว้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ จาก อ.ตากใบ ไปค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้รถทหารจำนวน 25 คัน และรถตำรวจกับรถเช่าอีกจำนวนหนึ่ง ทำการขนผู้ชุมนุมประมาณ 1.300 คนโดยยัดแน่น อัดกันอยู่ในรถ มีการจับประชาชนที่ถูกมัดมือไพล่หลัง ร่างกายอ่อนเพลียจากถูกปะทะในระหว่างสลายการชุมนุมและอยู่ระหว่างถือศีลอดโยนส่งขึ้นไปบนรถ บังคับให้นอนคว่ำหน้าบนพื้นรถ ขณะที่มือยังถูกมัดไพล่หลัง มีการวางประชาชนนอนซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ 4-5 ชั้น โดยใช้เวลาเดินทางนานถึง 5-6 ชั่วโมง โดยต้องถูกมัดมือไพล่หลัง นอนคว่ำหน้า ทับกันไปอย่างนั้นตลอดเวลาเดินทาง คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่แถวล่างสุด (ถูกคนทับอยู่ 3-4 ชั้น)เมื่อใกล้ตาย ขาดอากาศหายใจ กล้ามเนื้อถูกกดทับทำลาย ร้องขอความช่วยเหลือ ก็ถูกทหารที่ควบคุมไปกับรถขึ้นไปเหยียบด้านบน และใช้พานท้ายปืนตี พร้อมกับพูดว่า “จะได้ให้พวกมึงรู้ว่า นรกมีจริง”... (ส่วนหนึ่งจากบันทึกความจริงที่ตากใบ โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง)
ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทางการ มีลักษณะไร้ซึ่งมนุษยธรรม ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมอย่างไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่เคารพสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ใช้วิธีทารุณกรรมขนย้ายผู้ชุมนุม
5. ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรี คือ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร
การกล่าว “ขออภัย” โดยนายทักษิณเป็นสิ่งที่สมควรทำ
แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น คือ การแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในความสำนึกผิด และการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้อง
การไถ่บาป จะต้องลงมือทำอย่างจริงใจ
มิใช่แค่สร้างภาพ หรือเพื่อฟอกตัวในทางการเมือง
นักข่าวถามนายทักษิณถึงการนำคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 ที่มีเนื้อหาสำคัญในการนิรโทษกรรมผู้เห็นต่างจากรัฐ กลับมาใช้กับปัญหาไฟใต้ ยังจะใช้ได้อยู่หรือไม่?
นายทักษิณตอบว่า “ทุกอย่างสามารถปรับได้หมด ก็ต้องดูว่าเราจะทำอย่างไรถึงจะให้คนที่ผิดไปแล้ว สำนึกผิด และกลับมาในประเทศไทย ก็ต้องพูดคุยกัน ยังมีอีกหลายขั้นตอน ต้องคุยกันในหลายฝ่าย”
ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดในเรื่องยุทธศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ กองทัพเริ่มถอนกำลัง นำกำลังประจำถิ่นเข้ามาทดแทน ในขณะที่การพูดคุยสันติสุขปล่อยให้เป็นกลไกของ สมช.เป็นฝ่ายเลขาฯ คณะพูดคุยฯขับเคลื่อนงานโดยฝ่ายประจำเป็นหลัก
มีรายงานข่าวว่า ในยุคนี้ “ทักษิณต้องการให้ทำเป็นแพ็กเกจ ระดับบนรัฐบาลไทย-มาเลเซีย คุยกัน ระดับกลาง คณะพูดคุยฯ พูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง และระดับล่าง คือระดับพื้นที่ต้องมีการพูดคุย เช็ค และตรวจสอบว่าสิ่งที่สองระดับข้างบนคิดรวมถึงข้อเสนอในคณะพูดคุยฯ มันถูกต้องหรือไม่ สามส่วนต้องไปด้วยกัน”
แหล่งข่าวระบุว่า แนวคิดเรื่อง 66/23 ที่เหมือนเป็นการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิด เป็นแค่เค้าโครงในอดีตที่ใช้อธิบายให้เห็นภาพ ซึ่งมีความแตกต่างกับสิ่งที่กำลังจะเกิด เพราะ 66/23 เป็นเรื่องการนิรโทษกลุ่มที่เห็นต่าง มีแนวความคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่กรณีนี้ผู้ที่ถูกจับกุมดำเนินคดี หรือก่อเหตุ มีอุดมการณ์ในเรื่องการแยกรัฐ ดังนั้น วิธีการที่ใช้จึงมีรายละเอียดต่างกัน
ที่ผ่านมาเคยมีการใช้มาตรา 21 ตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 ในการให้ผู้หลงผิดเข้ามามอบตัว โดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯเพื่อดูว่าการก่อเหตุนั้นเป็นการหลงผิดหรือไม่ แต่ก็มีข้อจำกัดเฉพาะในบางพื้นที่ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.เท่านั้น และเมื่อเปลี่ยนคนกำกับดูแล การเดินหน้าเรื่องนี้ก็ยุติไป
ต้องติดตามว่า การแก้ปัญหาไฟใต้ เมื่อทักษิณสวมหมวกที่ปรึกษาประธานอาเซียน คือ นายกฯมาเลย์คนปัจจุบัน จะปรุงนโยบายออกมาสูตรไหนอีก
จะดับไฟใต้ หรือจะฟอกโจรใต้ ?
เพื่อฟอกตัวเอง อ้างว่าเป็นการไถ่บาปในอดีตไปด้วย หรือไม่?
จะออกมาในรูปใด ติดตามต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี