สหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่ในองค์การนาโต และที่ผ่านมาก็ทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ให้ความสนับสนุนยูเครนในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย แต่แล้ว เมื่อสหรัฐฯ ได้ประธานาธิบดีเป็น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ตัดสินใจที่จะให้มีการยุติสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียให้เร็วที่สุดชาวโลกและบรรดาประเทศที่เกี่ยวข้องที่ได้ฟังก็คงจะไม่อยู่ในฐานะที่จะเห็นเป็นอื่นหรือคัดค้านแต่อย่างใด เพราะไม่มีพลังอำนาจต่อรองเพียงพอ
ล่าสุดเพื่อแสดงความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังของฝ่ายสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เป็นเวลา 90 นาที และต่อมาทันที รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียก็พบปะหารือกันที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อปูทางสู่การหยุดยิง และการให้ได้มาซึ่งสันติภาพ ความคืบหน้าต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่ชาวโลกต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
สันติภาพที่เป็นที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น มีองค์ประกอบดังนี้
1. การยุติการสู้รบ และการให้ทั้งสองฝ่ายคู่กรณียูเครนและรัสเซีย ตั้งอยู่ในที่มั่นก่อน
2. การถอนกำลังออกจากพื้นที่สู้รบ และการจัดให้มีกองกำลังสันติภาพ ที่จะประกอบด้วยกำลังทหารจากประเทศต่างๆ ที่ทั้งฝ่ายสหรัฐฯ และรัสเซียเห็นชอบร่วมกัน โดยกองกำลังสันติภาพอยู่ภายใต้ธงสีฟ้าขององค์การสหประชาชาติ
3. การที่ยูเครนจะต้องยอมรับการสูญเสียดินแดนประมาณร้อยละ 20 ให้กับฝ่ายรัสเซีย (คือดินแดนทางภาคตะวันออกของยูเครน และเขตไครเมีย)
4. การร่วมประกันความมั่นคงปลอดภัยและความเป็นกลางของยูเครน โดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐฯรัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส และการออกมติสนับสนุนโดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด
5. ประชาคมโลกโดยองค์การสหประชาชาติจะเป็นแกนกลาง ร่วมกันบูรณะ ฟื้นฟูยูเครน
6. การค่อยๆ ลดมาตรการการคว่ำบาตรรัสเซียให้คู่ขนานไปกับการปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยรัสเซีย เช่น การทยอยถอนกำลังทหารออกจากยูเครน
7. การยกเลิกการใช้กฎสภาวะฉุกเฉินโดยรัฐบาลยูเครนชุดปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่การกลับมาของสิทธิเสรีภาพ และการจัดการเลือกตั้ง ทั้งในระดับประธานาธิบดี และในระดับรัฐสภา เป็นต้น
การนี้ก็ขอทบทวนความเป็นมาเกี่ยวกับสงครามยูเครน-รัสเซีย ว่ามีต้นเหตุที่ไปที่มาอย่างไร
จากมุมมองของฝ่ายองค์การนาโตและสหภาพยุโรป ก็เริ่มที่การกล่าวหาว่ารัสเซียเป็นผู้รุกราน และรัสเซียมีความปรารถนาที่จะเอาความยิ่งใหญ่สมัยสหภาพโซเวียตกลับคืนมา แต่ผู้รู้ในแวดวงวิชาการ สื่อ และคอการเมือง รวมทั้งฝ่ายรัสเซียเอง ก็บอกว่า ประเด็นปัญหาต้องเริ่มต้นที่ช่วงการทำลายกำแพงเบอร์ลิน สัญลักษณ์ของการแบ่งแยกโลกเป็นค่ายเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ ตามด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการยุติของโลกยุคสงครามเย็นเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมานี้ โดยมีข้อเท็จจริงว่าฝ่ายสหภาพโซเวียตยินยอมให้เยอรมนีตะวันตก และเยอรมนีตะวันออก กลับมารวมเป็นประเทศเดียวกัน โดยเยอรมนีที่รวมตัวกันแล้วจะยังคงความเป็นสมาชิกองค์การนาโตไว้ ซึ่งจะต้องไม่มีการขยายจำนวนสมาชิกประเทศองค์การนาโตไปในทิศทางใกล้รัสเซียอีกต่อไป ซึ่งเมื่อตกลงกันแล้ว ฝ่ายสหภาพโซเวียตก็ถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากเยอรมนีตะวันออกทันที
ผู้ที่เข้าร่วมเจรจาหารือ และมีข้อตกลงและความเข้าใจดังกล่าว มีประธานาธิบดี บุช (ผู้บิดา) นายกรัฐมนตรีเฮลมุท โคห์ล เยอรมนีตะวันตกฝ่ายหนึ่ง และนายมิคาเอลกอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต อีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ทว่าหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย กลายเป็นรัสเซีย ฝ่ายสหรัฐฯ เยอรมนี และประเทศสมาชิกองค์การนาโตอื่นๆ กลับบิดพลิ้วคำมั่นสัญญาต่างๆ ที่เคยให้ไว้อย่างสิ้นเชิง โดยเริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อจากประธานาธิบดี บุช (ผู้บิดา) จนถึงประธานาธิบดี โจ ไบเดนที่ฝ่ายองค์การนาโตภายใต้การนำพาของฝ่ายสหรัฐฯ ฝ่ายตะวันตกได้ขยายจำนวนสมาชิกประเทศขององค์การนาโตมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเท่ากับว่าองค์การนาโตเขยิบเข้ามาประชิดชายแดนรัสเซียมากขึ้นๆ และต่อมาฝ่ายองค์การนาโตก็ได้ประกาศการพิจารณาที่จะรับยูเครน และจอร์เจีย ซึ่งมีชายแดนติดกับรัสเซียเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตอีกด้วย
ทั้งนี้โดยตลอดมา ฝ่ายรัสเซียซึ่งสืบทอดความเป็นรัฐอธิปไตยต่อจากอดีตสหภาพโซเวียต โดยประธานาธิบดี เยลต์ซิน ก็ได้เรียกร้อง ท้วงติง ถึงการละเมิดคำมั่นสัญญาดังกล่าวมาโดยตลอด และประกาศอย่างต่อเนื่องว่า การขยายตัวของสมาชิกประเทศขององค์การนาโตมาประชิดเขตแดนรัสเซียนั้น ถือเป็นการคุกคามความมั่นคงของรัสเซียโดยตรง และเมื่อประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน รับช่วงต่อจากประธานาธิบดี เยลต์ซิน ก็ได้ประกาศท่าทีอย่างแข็งขันเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฝ่ายองค์การนาโตก็มิได้รับฟังหรือมีความสะทกสะท้านแต่อย่างใด
อีกทั้งฝ่ายประเทศสมาชิกองค์การนาโตโดยเฉพาะสหรัฐฯ ก็ยังเข้าไปแทรกแซงในการเมืองภายในของยูเครนอย่างใหญ่หลวง จนถึงขั้นที่สามารถล้มล้างรัฐบาลยูเครนที่มาจากการเลือกตั้ง และจัดตั้งกลุ่มผู้บริหารประเทศยูเครนชุดใหม่ที่อยู่ในอาณัติ หรือมีความเอนเอียงไปกับฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก และทำการต่อต้านฝ่ายรัสเซีย ซึ่งในขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลใหม่ของยูเครนก็มีการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองยูเครนเชื้อสายรัสเซีย โดยทำให้เป็นพลเมืองชั้นสอง ที่ถูกบังคับให้ใช้แต่ภาษายูเครน และมิให้ใช้ภาษารัสเซีย ทั้งที่ทั้งสองภาษามาจากรากเดียวกันและมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เป็นต้น
เมื่อสถานการณ์สุกงอม ฝ่ายรัสเซียได้เริ่มทำการโต้ตอบ โดยเริ่มจากการสนับสนุนพลเมืองยูเครนเชื้อสายรัสเซียให้ทำการสู้รบต่อต้านกองกำลังของฝ่ายรัฐบาลยูเครน ก่อนที่จะกรีธาทัพเข้ายึดครองภาคตะวันออกของยูเครน และเขตไครเมีย จนเป็นสงครามสู้รบระหว่างยูเครนกับรัสเซียดังกล่าว โดยฝ่ายยูเครนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร โปแลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส เดนมาร์ก กลุ่มประเทศบอลติก เป็นต้น
ฝ่ายกลุ่มประเทศที่สนับสนุนยูเครนดังกล่าวมีการดำเนินการแบบทะลุทะลวง 2 รูปแบบคือ
1. สนับสนุนยูเครนทั้งทางด้านการทหาร และการเงิน
2. การคว่ำบาตรรัสเซีย ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจการค้า และการเงิน โดยหวังให้รัสเซียยากจนลง จะได้อ่อนเปลี้ยจนไม่มีพละกำลังที่จะสู้รบต่อไปได้
แต่การณ์กลับเป็นว่า แม้รัสเซียจะไม่สามารถมีชัยเหนือยูเครนอย่างเบ็ดเสร็จในระยะเวลาอันสั้นได้ตามที่หลายฝ่ายคาดเดาไว้ก่อนหน้า แต่ฝ่ายกองทัพยูเครนก็ไม่สามารถตอบโต้ ตีกลับ และขับไล่ฝ่ายรัสเซียออกไปจากดินแดนทางตะวันออกของยูเครนได้อยู่ดี อีกทั้งการคว่ำบาตรต่างๆ ดังกล่าว แม้จะสร้างผลกระทบต่อระบบการเงินรัสเซียอย่างใหญ่หลวง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการอ่อนเปลี้ยทางเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การลุกฮือของชาวรัสเซียขึ้นต่อต้านประธานาธิบดี ปูติน
การณ์กลับเป็นว่าเศรษฐกิจรัสเซียยังประคองตัวไปได้ด้วยดี และกองกำลังรบก็ยังได้เปรียบ มีความเหนือกว่าฝ่ายยูเครน อีกทั้งประชาคมโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ก็มิได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบด้วย หากแต่ก็ยังทำมาค้าขายเป็นปกติกับรัสเซีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คงตระหนักถึงสภาวการณ์ และสภาพของความเป็นจริง อีกทั้งยังมีความคิดว่า เรื่องที่ท้าทายที่สุดของสหรัฐฯ คือจีน(ไม่ใช่รัสเซีย) ที่อยากจะขึ้นมาเป็นเจ้าโลกแทนสหรัฐอเมริกาและฉะนั้นประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ประสงค์ที่จะลดภาระต่างๆ ของสหรัฐฯ ในสงครามยูเครนให้มากที่สุด เพื่อจะได้นำเอาพละกำลังไปต่อกรกับจีนที่เป็นศัตรูแท้จริงต่อไป
ฉะนั้นการเจรจาโดยตรงระหว่างฝ่ายสหรัฐฯ กับฝ่ายรัสเซีย เพื่อยุติการสู้รบและการนำมาซึ่งสันติภาพดังกล่าวจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งทั้งนี้ฝ่ายยุโรปกลับมิได้รับเชิญให้เข้าร่วมในโต๊ะประชุมสหรัฐฯ-รัสเซีย ส่วนฝ่ายยูเครนก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ไม่มีอำนาจต่อรองเนื่องจากเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อคิดว่า หากประเทศยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ร่วมมือกัน โลกก็จะหายใจทั่วท้อง และมีความหวังขึ้น ส่วนยุโรปทั้งหมดก็สามารถจะเป็นเสาหลักที่ 4 ของโลกได้ แต่ก็ต้องปรับปรุงตัวเองและเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อจะได้พูดจาและดำเนินการต่างๆ เป็นเสียงเดียวกัน
สำหรับประเทศไทยเราก็อาจจะคิดเรื่องการส่งคณะแพทย์ทหาร หรือกองกำลังไปเข้าร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพ หรือจะให้ความช่วยเหลือยูเครนทางด้านมนุษยธรรมต่างๆ ก็อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ และก็ควรจะพินิจพิจารณาความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการของฝ่ายไทยอีกแหล่งหนึ่งในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี