หลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีประเด็นให้ติดตามต่อ
1. นายทักษิณย้ำว่า มาใน 3 สถานะ คือ 1.สถานะของที่ปรึกษาประธานอาเซียน 2.ในสถานะอดีตนายกรัฐมนตรี และ 3.ในฐานะตัวเเทนพรรคเพื่อไทยที่ได้เป็นรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี
“หลังจากนี้ความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีมากขึ้นในการเเก้ปัญหาสามจังหวัดชายเเดนภาคใต้ โดยจะมีความก้าวหน้าในการพูดคุยสันติสุข ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซียเองก็อาสาที่มาช่วยพูดคุยด้วย รวมถึงตัวผมเองก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่” – ทักษิณกล่าว
2. นายทักษิณกล่าว “ขออภัย” ต่อการกระทำของตนเองสมัยที่เป็นนายกฯ โดยกล่าวทั้งที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิสวาส จังหวัดยะลา
และเมื่อนักข่าวถามถึงการนำคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 ที่มีเนื้อหาสำคัญในการนิรโทษกรรมผู้เห็นต่างจากรัฐ กลับมาใช้กับปัญหาไฟใต้ ยังจะใช้ได้อยู่หรือไม่?
นายทักษิณ ตอบว่า “ทุกอย่างสามารถปรับได้หมด ก็ต้องดูว่าเราจะทำอย่างไรถึงจะให้คนที่ผิดไปแล้ว สำนึกผิด และกลับมาในประเทศไทย ก็ต้องพูดคุยกัน ยังมีอีกหลายขั้นตอน ต้องคุยกันในหลายฝ่าย”
ประเด็นนี้ ยังมีปมต้องติดตามว่า การแก้ปัญหาไฟใต้หลังจากนี้ จะเดินไปในทางไหน? ต่างชาติจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างไร? คำสั่งในลักษณะคล้ายๆ 66/23 จะได้ผลหรือไม่?
จะดับไฟใต้ หรือจะฟอกโจรใต้ ?
จะแก้ปัญหาขบวนการแบ่งแยกดินแกน หรือจะยกอำนาจให้โจร?
3. 66/23 ใช้จชต.ได้ไหม?
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่าด้วยเรื่อง 66/23 ใช้จชต.ได้ไหม
ระบุว่า
“แว่วเสียงนักคิดจากซีกรัฐบาล จะขอนำนโยบาย 66/23 ของป๋าเปรม. มาใช้กับผู้ก่อการร้าย จชต.
จะให้คนร้ายออกมามอบตัวร่วมพัฒนาชาติ เหมือนในอดีตที่เคยประสบความสำเร็จกับผกค.และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
รัฐบาลนี้ หลายคนคงไม่เคยผ่านเหตุการณ์นั้น ยกเว้นคุณภูมิธรรม
คงต้องทำความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยผ่านบทเรียนความเจ็บปวดในอดีต
คนไทยต้องฆ่ากัน เพราะอุดมการณ์และความคิดเห็นต่างกัน
กลุ่มหนึ่งนิยมคอมมิวนิสต์ทั้งสายจีนสายโซเวียต
แต่คนส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตยแบบตะวันตก รักษาสถาบัน และวัฒนธรรม รวมทั้งสังคมไทย สังคมครอบครัวไว้
ประการสำคัญ เราพูดภาษาเดียวกัน นึกรักผืนแผ่นดินเดียวกัน ไม่ได้คิดแยกประเทศ
ทุกวันนี้ ทางราชการก็เปิดโอกาสให้คนร้ายที่หลงผิดสามารถออกมามอบตัว และกลับไปใช้ชีวิตปกติได้
ไม่ว่าจะเปาะสู หรือเปาะเยะ และอีกหลายคน ก็ออกมาและมีชีวิตปกติ
หรือแม้แต่ในยุคหลัง 2547 สมาชิกก่อการร้ายบีอาร์เอ็นหลายคนก็ออกมามอบตัวและได้รับการดูแลอย่างดี
รวมทั้ง ดร.วัน อับดุล การ์เดร์ เจ๊ะมัน อดีตประธานเบอร์ซาตู ก็ออกมา
อันตรายไม่ได้มาจากฝ่ายรัฐ แต่มาจากฝ่ายโจรที่ติดตามเอาชีวิตคนเหล่านี้ที่เปลี่ยนใจ
สุดท้าย 66/23 จะถูกรัฐบาลนี้นำมาใช้อย่างไร ยังไม่เห็นรายละเอียด
แต่ให้ทำใจไว้ก่อนว่า จุดมุ่งหมายสุดท้ายของแกนนำบีอาร์เอ็น คือ ต้องการแยกตัวออกจากไทย
แต่เลี่ยงใช้คำภาษาทางวิชาการตะวันตกสวยหรู ทางราชการต้องไม่หลงกล
หากผิดพลาด ฆ่าตัวตายยังน้อยไป”
4. นโยบาย 66/23 ไม่เหมาะกับไฟใต้ ไทยเสี่ยงสูญเสีย?
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายาการ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราไว้อย่างน่าสนใจ
โดยขมวดประเด็นหลักๆ ไว้ดังนี้
(1) ไฟใต้ในขณะนี้ไม่ได้มาจากปัญหาเรื่องลัทธิการเมืองการปกครอง หรือการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เป็นหลัก เหมือนเมื่อครั้งที่ใช้นโยบาย 66/23
ปัจจุบัน เงื่อนไขและสถานการณ์แตกต่างกันมาก และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวความคิดสุดโต่ง (Violence and Extremism) ของขบวนการคนอีกรุ่น โดยไม่มีศาสนาใดยอมรับวิธีการรุนแรงแบบนี้
ที่สำคัญยังมีเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน (separatism) หรือการสถาปนารัฐขึ้นมาใหม่ (irredentism) ที่ชัดเจนด้วย
ดังนั้น จึงไม่เหมาะที่จะย้อนกลับไปใช้นโยบาย 66/23 หรือ 65/25 ที่เคยใช้เอาชนะคอมมิวนิสต์ในอดีตได้
(2) ในสมัยก่อนที่มีการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์นั้น องค์ประกอบที่สำคัญ คือ การใช้กำลังทหารปราบปรามอย่างเข้มข้น แล้วจึงเสนอทางเลือกให้สมาชิกขบวนการคอมมิวนิสต์ “กลับใจ” หรือ “เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย”
โดยอาศัยความขัดแย้งภายในของขบวนการคอมมิวนิสต์เป็นปัจจัยเกื้อหนุน ร่วมกับใช้กฎหมายและนโยบาย 66/23 กับ 65/25 เปิดทางสู่สันติจนสำเร็จ
แต่ปัจจุบัน ทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายความมั่นคงอ่อนแอลง แนวทางเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผลจึงยิ่งจะไม่ได้ผลมากขึ้น
(3) ในอดีต บทบาทของมาเลเซียก็ไม่สำคัญมากเหมือนทุกวันนี้ เหตุเพราะขบวนการคอมมิวนิสต์ไม่ได้อาศัยหรือใช้พื้นที่ในมาเลเซียเป็นฐานที่มั่นในการสั่งการหรือจัดการ
อีกทั้ง โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา (จคม.หรือ CPM) ก็มีฐานอยู่ในไทยที่ อ.เบตง จ.ยะลา ไม่ใช่อยู่ในมาเลเซีย
ผิดกับปัจจุบัน ขณะนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือแกนนำการสร้างแนวความคิดและความรุนแรงแบบสุดโต่งไปอาศัยอยู่ในมาเลเซีย และสั่งการหรือจัดการจากที่นั่นเป็นหลัก จึงทำให้ยากต่อการจัดการ
ดังนั้น หากต้องการจะแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ลุล่วงจริงๆ ก็จะต้องดำเนินการในเรื่องเหล่านี้
“1.ปราบปรามและป้องกันไม่ให้เกิดความคิดแบบสุดโต่งอย่างจริงจัง รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการก่อความไม่สงบหรือการโจมตีเจ้าหน้าที่หรือคนที่สนับสนุนรัฐอย่างที่เกิดทุกวันนี้
2.กดดันให้มาเลเซียในฐานะผู้ประสานงานของไทย นำตัวแกนนำทั้งหลายที่เป็นตัวจริงหรือมีบทบาทหลัก ที่อาศัยและปฏิบัติการอยู่ในมาเลเซียนั้น ออกมานั่งโต๊ะเจรจาหรือพูดคุยสันติสุขกับฝ่ายไทยให้ได้
หรือหากคนเหล่านั้นไม่ร่วมมือ ก็ต้องจับกุมหรือเนรเทศออกนอกประเทศมาเลเซีย เพราะถือว่าทำผิดกฎหมายของมาเลเซียหรือของสากลอยู่แล้ว
เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะสงบลง
3.ในส่วนของผู้นำรัฐบาล รวมทั้งอดีตผู้นำที่มีเครือข่ายของตนอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะต้องควบคุมดูแลกำกับคนของตนเองให้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ขยันดูแลประชาชนมากกว่านี้ และละเลิกการทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญอีกปัจจัยของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เรื้อรังมาถึงปัจจุบัน”
5. ยิ่งกว่านั้น รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ยังชี้ชัดว่า บริบทและสถานการณ์ปัญหาไฟใต้ปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ฝ่ายผู้ก่อการอยู่ในสถานะอย่างไร และไทยเสี่ยงสูญเสียอำนาจรัฐส่วนกลาง หากแก้ไฟใต้ด้วย 66/68
ระบุว่า
“1. เดิม..การก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มที่ต่อสู้กับรัฐ ต้องการดำรงความมุ่งหมายเดิม คือสร้างสถานการณ์เพื่อรักษาสถานภาพ ตามที่ฝ่ายความมั่นคงได้ระบุบ่อยๆ
2.แต่ปัจจุบัน เนื่องจากฝ่าย BRN ทั้งที่นั่งอยู่บนโต๊ะพูดคุย ทั้งที่อยู่ในไทย และที่สำคัญคือที่อยู่ในมาเลเซีย มี “สถานภาพ” ที่ชัดเจนแล้ว คือไม่ต้องถกเถียงกันมากอีกแล้วว่ามี “B” หรือไม่ หรือใครคือ “B” หรืออยู่ที่ไหนกันบ้าง เพราะแทบทุกฝ่ายก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว
ฉะนั้น การก่อเหตุรุนแรงที่กระทำอยู่ จึงกระทำเพื่อต้องการอำนาจในการต่อรองและการสนับสนุน ทั้งที่โต๊ะเจรจา ทั้งในพื้นที่ ทั้งในองค์กรของตัวเอง ทั้งกับต่างประเทศ
และที่สำคัญอีกประการ คือ การต่อรองกับมาเลเซีย เพื่อไม่ให้โดนจับ โดนเนรเทศ
3.การต่อรองหลายระดับ และหลายมิติที่ซับซ้อนนี้ บ่งบอกถึงพัฒนาการที่เข้มแข็งขึ้นมากของ BRN โดยเฉพาะทางการเมืองและการต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้มีข้อมูลชัดเจนจากงานวิจัยที่ตนได้ศึกษาโครงสร้างและการทำงานของ BRN มาเกือบ 10 ปี
4.ถ้าประเมินการพูดคุยสันติสุข จะสรุปได้ในขณะนี้ว่า
- ฝ่าย BRN ได้เปลี่ยนความพ่ายแพ้ทางยุทธการหรือทางทหาร ให้เป็นความความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ได้แล้ว
คือ สามารถต่อรอง กุมทิศทาง ขัดขวาง ชะลอเวลา และบางครั้งก็สามารถชี้นำฝ่ายรัฐระดับสูงที่นั่งร่วมโต๊ะเจรจาได้แล้ว
- ส่วนฝ่ายรัฐ ถูกเปลี่ยนจากชัยชนะในทางยุทธการหรือทางการทหาร หรือการการดำเนินนโยบายเชิงรุกในพื้นที่ มาเป็นการตั้งรับในเชิงการเมือง การต่างประเทศ และเริ่มเพลี่ยงพล้ำในเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว
คือ มีแนวโน้มที่จะต้องเสียอำนาจรัฐส่วนกลางแบบ unitary state ไปให้กับท้องถิ่นมากกว่าที่ควรจะเป็น และก็ไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะขัดกับรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป”
นี่คือประเด็นที่ ดร.ปณิธานแจกแจงให้เห็นกับสำนักข่าวอิศรา
แหลมคม น่าหวาดเสียว และน่าเป็นห่วงมาก หากรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์จะเดินหน้านำแนวทางนำคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 ที่มีเนื้อหาสำคัญในการนิรโทษกรรมผู้ก่อการมาใช้กับปัญหาไฟใต้
6. อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ อาจกระทบกับความมั่นคง ความเป็นปึกแผ่น และอธิปไตยของชาติ
นโยบายรัฐบาลที่เคยแถลงต่อรัฐสภา ก็ไม่มีการระบุถึงแนวทางนี้ไว้
โดยระบุถึงการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แต่เพียงว่า
“รัฐบาลจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตย สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล เคารพพหุวัฒนธรรม เพื่อเป็นบันไดสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย ให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ รวมถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน”
เพราะฉะนั้น จึงถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด ตกเหวลึก หรือหลงทิศหลงทาง ไปเข้าทางใคร มากกว่าในอดีต
ซึ่งคราวนี้ อาจต้องใช้คำของคุณนันทิวัฒน์ สามารถ ที่ว่า
“หากผิดพลาด ฆ่าตัวตายยังน้อยไป” !
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี