สำนักข่าว CNA สิงคโปร์รายงานวันที่ 25 มกราคม ว่ามาเลเซียผลักดันเรือมนุษย์โรฮีนจา หลายร้อยคนออกสู่น่านน้ำสากลท่ามกลางความกังวลของคนท้องถิ่น
CNA โปรยข่าวว่า ในขณะที่ชาวโลกมุ่งความสนใจประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ โรฮีนจา กลัวว่าชะตากรรมของพวกจะถูกลืม จึงเคลื่อนไหวให้ประชาคมโลกหันมาให้สนความใจ ในเวลาที่มาเลเซียประธานอาเซียนเรือมนุษย์โรฮีนจา ผู้แสวงสถานะผู้อพยพ และผู้ลี้ภัยปรากฏในน่านน้ำมาเลเซียมากขึ้น
คนท้องถิ่นกล่าวว่า ไม่พบเห็นเรือมนุษย์โรฮีนจามาสี่ปีแล้ว เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เร็วๆ นี้ ได้ผลักดันเรือสองลำที่บรรทุกผู้โดยสารประมาณ 300 คน ไปยังน่านน้ำสากล หลังจากได้จัดอาหารและน้ำให้ ภายหลังมีรายงานว่าเรือสองลำนั้นไปขึ้นฝั่งเกาะอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย
“เจ้าหน้าที่เห็นเรือลอยลำอยู่ในน่านน้ำสากลทุกวัน”ไซฟุดดีน นาซูเตียน อิสมาอีล รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมาเลเซีย กล่าว “เร็วๆ นี้ เรือลำหนึ่งขึ้นฝั่งในลังกาวี เรากักตัวพวกเขาไว้ในสถานีตรวจคนเข้าเมืองเราปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักมนุษยธรรม”
กลางดึกวันที่ 3 มกราคม เรือไม้บรรทุกโรฮีนจา 200 คนมาขึ้นฝั่งที่ Teluk Yu จุดท่องเที่ยวยอดนิยมของเกาะลังกาวี เด็กๆ และสตรีหลบซ่อน อยู่ในห้องใต้ท้องเรือ ที่ลวงตาว่า เป็นเรือประมง แต่มีเสื้อผ้าเศษอาหารกระจัดกระจายอยู่บนดาดฟ้า พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม และส่งมอบให้ตรวจคนเข้าเมือง
คนท้องถิ่นจำนวนมาก ไม่พอใจ ที่เห็นเรือคนต่างชาติมากเช่นนั้น โดยกล่าวว่า พวกเขาไม่เห็นเรือมนุษย์โรฮีนจา มา 4 ปีแล้ว แต่ทันทีที่มาเลเซีย เป็นประธานอาเซียน เรือมนุษย์โรฮีนจา เข้ามามาก จนน่าสงสัยว่า มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
ประสบการณ์ทำข่าวชาวโรฮีนจามาหลายสิบปีพบว่ามนุษย์เรือโรฮีนจา ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากพม่า แต่มาจากค็อกซ์บาซาร์ ประเทศบังกลาเทศ ค็อกซ์บาซาร์ เป็นค่ายอพยพใหญ่รองรับชาวโรฮีนจา กว่าล้านคนนานหลายสิบปีสถานที่กว้างใหญ่แต่การควบคุมหละหลวมมาก
โรฮีนจา ในค่ายนี้ใฝ่ฝันมีชีวิตที่ดีกว่า ในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย สมัยทำงานกับสำนักข่าวรอยเตอร์สเคยสัมภาษณ์โรฮีนจาหนีเข้าเมืองที่ถูกจับได้ จากการพูดคุยกับโรฮีนจา พบว่า ส่วนใหญ่มาจากค็อกซ์บาซาร์ ไม่ได้มาจากรัฐยะไข่ ดังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
โรฮีนจาเล่าให้ฟังว่า ญาติที่ลี้ภัยไปต่างประเทศเช่นตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่งเงินมาให้พวกเขาติดสินบนเจ้าหน้าที่จัดการออกจาก ค็อกซ์บาซาร์ เพื่อเดินทางไปมาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยผ่านน่านน้ำประเทศไทย
และเมื่อครั้งเจ้าหน้าที่ไทยปราบขบวนการค้ามนุษย์ครั้งใหญ่ในปี 2558 และจับนายทหารยศพลโทในข้อหาค้ามนุษย์ในครั้งนั้นผู้เขียนได้พูดคุยกับโรฮีนจาในที่กักกัน ได้ความว่าโรฮีนจา ที่เป็นเหยื่อค้ามนุษย์มาจากค็อกซ์บาซาร์ โดยส่วนตัวจึงเชื่อว่า การค้ามนุษย์โรฮีนจาต้นตออยู่ที่ค็อกซ์บาซาร์ เนื่องจากว่าขบวนการค้ามนุษย์เคลื่อนไหวในค็อกซ์บาซาร์ได้คล่องตัวกว่า ในประเทศพม่า ที่เข้มงวดกับคนต่างชาติ เช่น หน่วยบรรเทา เอ็นจีโอต่างชาติ ที่ทำตัวเป็นจิตอาสาบังหน้า
เมื่อข่าวเรือมนุษย์โรฮีนจา ที่ห่างหายไปนานสี่ปีกลับมีคลื่นมนุษย์โรฮีนจาเกิดขึ้นใหม่ในยุคที่ประเทศมาเลเซียเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน จึงเกิดความสงสัยว่า ใคร หรือหน่วยงานไหนปลุกผีมนุษย์เรือโรฮีนจาขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์ใด
คนท้องถิ่นกล่าวกับ CNA ว่า “ผมไม่ชอบเลย พวกเขาแย่งสิทธิ์ของเราในฐานะชาวมาเลเซีย เช่น ใช้โรงพยาบาลของพวกเรา และสามารถเข้าโรงเรียนได้ มันไม่ยุติธรรมเลย”
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย หรือ UHNCR ระบุว่า ณ สิ้นปี 2024 มีผู้อพยพ และผู้ลี้ภัยในมาเลเซีย 200,000 คนประมาณ 170,000 ลงทะเบียนว่า มาจากเมียนมา และส่วนใหญ่เป็นโรฮีนจา CNA รายงานด้วยว่า นานหลายทศวรรษ ที่ชาวโรฮีนจาหนีจากรัฐยะไข่ มาในเรือไม้ ฝ่าคลื่นลมทะเลจากอ่าวเบงกอลไปมาเลเซีย การเดินทางต้องใช้เวลากว่าสองอาทิตย์
เชื่อว่าเรือมนุษย์โรฮีนจาคงล่องเรือไปในเส้นทางเดียวกันกับที่นายทักษิณ ชินวัตร นั่งเรือยอชต์ไปพบกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในทะเลอันดามันใกล้เกาะลังกาวี ที่ยังไม่ชัดเจนว่า การพบกันครั้งนั้นในน่านน้ำไทยหรือน่านน้ำมาเลเซีย
โรฮีนจา ที่เข้ามาอยู่ในมาเลเซียเกือบสิบปีแล้วแสดงความดีใจ ที่มาเลเซียเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนโดยหวังว่ามาเลเซียจะยกเรื่องชะตากรรมโรฮีนจา ขึ้นมาให้ประชาคมโลกเห็นใจ อาร์เฟต โมฮัมเหม็ด หนีจากเมืองหม่องดอว์ รัฐยะไข่ มาพักพิงอาศัยในมาเลเซียเกือบสิบปีแล้ว ปัจจุบันเขาเป็นครูสอนในโรงเรียนชุมชน ในอุปถัมภ์ของ UHNCR บนเกาะลังกาวี
อาร์เฟต พ่อลูกสองแสดงความซาบซึ้งที่ประเทศมาเลเซียให้ที่พักพิงชั่วคราวแก่เขาและครอบครัว ถึงแม้ว่ามาเลเซียไม่ได้ลงนามในอนุภาคีสัญญาว่าด้วยผู้อพยพก็ตาม “เรารู้สึกปลอดภัย แต่ไม่ใช่ระยะยาว” อาร์เฟตกล่าว และเสริมว่า “เราอยู่ระหว่างการรอ UN พิจารณาให้ไปตั้งรกรากที่ใด หรือหากประเทศเรามีสันติภาพ เราอยากกลับประเทศของเรา แต่สถานการณ์ทางบ้านเลวร้ายลงไปทุกขณะ”
อาร์เฟตหวังว่า “บทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ จะชูประเด็นโรฮีนจาให้โดดเด่น และหลุดพ้นการถูกข่มเหง อย่างน้อยประชุมอาเซียนในลังกาวีมี 30 ครั้งในปีนี้ ต้องมีสักครั้งที่มาเลเซียยกประเด็นโรฮีนจาขึ้นมาพูด”
จากคำสัมภาษณ์ของอาร์เฟต พอนึกภาพออกเลาๆ ว่า ใครเป็นผู้ปลุกผีเรือมนุษย์โรฮีนจาที่หายไปหลายปี และจากคำสัมภาษณ์ของ นายอาร์เฟต บ่งชี้ให้เห็นบทบาท และพฤติกรรมประหลาดของ UHNCR ที่ถือวิสาสะเข้าไปตั้งสำนักงาน และวางเจ้าหน้าที่ไว้ในประเทศที่ไม่ได้ลงนาม ในอนุสัญญาว่าด้วยผู้อพยพ
พฤติกรรมประหลาดของเจ้าหน้าที่ UHNCR คือเร่หาผู้ลี้ภัยไว้ในคุ้มครองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ดังนั้นเมื่อผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยล่องเรือไปถึงประเทศใด ให้ถือว่า ประเทศนั้นเป็นที่พักพิงชั่วคราวจนกว่า UHNCR จะหาประเทศที่สามรับผู้อพยพไปตั้งรกรากใหม่ได้
นายอาร์เฟต รอไปประเทศที่สามรับมาเกือบสิบปีแล้ว เลยต้องเป็นครูสอนในโรงเรียนที่ UNHCR อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับลูกหลานของผู้อพยพรอไปประเทศสาม
กรณีเช่นเกิดขึ้นกับประเทศไทยสมัยมนุษย์เรือเวียดนาม ผู้เขียนเคยไปทำข่าวมนุษย์เรือเวียดนามที่เกาะรังมนุษย์เรือเวียดนาม บอกเราตอนนั้นว่า เจ้าหน้าที่ UNHCRสั่งให้เจาะเรือหรือทำให้เครื่องยนต์เสียเมื่อมาถึงเกาะรัง เพื่อที่มนุษย์เรือเวียดนาม ได้อยู่ในประเทศไทยในฐานะประเทศแรกรับจนกว่าจะหาประเทศที่สามรับไปตั้งรกรากได้
ประเทศไทยใช้เวลากว่ายี่สิบปีก่อน UHNCR หาประเทศที่สามรับมนุษย์เวียดนาม และที่เหลือจากการคัดเลือกก็ตกค้างอยู่ในประเทศไทยจนวันนี้ มนุษย์เรือเวียดนามก็เหมือน ม้งวัดถ้ำกระบอก และผู้อพยพชาวกัมพูชาที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทยหลายหมื่นคน
คำบอกเล่าของ มนุษย์เรือเวียดนาม และ มนุษย์เรือโรฮีนจา ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมายืนยันได้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่พวกเขากล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ UHNCR บางคนมีบทบาทสำคัญให้มนุษย์เรือเหล่านั้นหนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาประเทศไทย และบางประเทศในอาเซียน จึงได้แต่สงสัยว่าใครปลุกผีโรฮีนจาขึ้นมาในขณะที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านความมั่นคงให้ความกระจ่างได้ แต่ยังไม่คลายความสงสัยที่ยังคาใจผู้เขียนนายฐิตินันท์ พงษ์สุธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันมั่นคงและศึกษานานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความเห็น CNA ในกรณีมนุษย์โรฮีนจามุ่งหน้าไปมาเลเซียว่า..
“มันเป็นวิกฤตในวิกฤต ด้านหนึ่งวิกฤตยึดอำนาจ และสงครามกลางเมืองซึ่งต้องแก้ไขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และอาเซียนมีบทบาทนำในเรื่องนี้” ฐิตินันท์กล่าว และเสริมว่า “ในวิกฤตนั้นอาเซียนต้องตระหนักว่า วิกฤตภายในรัฐยะไข่และไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต้องทำข้อตกลงกับกองทัพอาระกันดังนั้นพวกเขาต้องยุติการกดขี่ข่มเหงมุสลิมโรฮีนจา..”
จึงอนุมานได้ว่า ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยปลุกผีมนุษย์เรือโรฮีนจา ขึ้นมา ที่ดูเหมือนว่า จะเป็นมาตรการพ้นยุคหมดสมัย ในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ครอบงำทำเนียบขาว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี