เมื่อเอ่ยถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ปัจจุบันมีรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลาย เช่น โทรศัพท์ไปหลอกเหยื่อ อ้างเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง บอกเหยื่อว่ามีคดีความพัวพันกับเรื่องผิดกฎหมายแต่สามารถช่วยเคลียร์ให้ได้หากโอนเงินไปให้ หรือให้โอนไปตรวจสอบความบริสุทธิ์,การเปิดเพจเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างบริษัทหรือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงเพื่อหลอกให้ร่วมลงทุน หรืออ้างเป็นแหล่งเงินกู้อนุมัติง่ายขอเพียงโอนเงินเป็นค่าธรรมเนียม, การส่ง SMS แนบ Link ที่กดแล้วทำให้โทรศัพท์ถูกควบคุมและดึงเงินออกจากบัญชีธนาคารผ่านธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น
และนอกจากจะหลอกเอาเงินของเหยื่อแล้ว ในกรณีของประเทศไทยยังส่งผลต่อเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ดังรายงานข่าว Thailand’s tourism targets dip as Chinese travelers opt for trips to Japan โดย นสพ. Korea JoongAng Daily ของเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2568อ้างบทวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence ที่พบว่า ในเดือนม.ค. 2568 ซึ่งตรงกับวันหยุดยาวของชาวจีนเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ไทยพลาดโอกาสโกยรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากเกิดกระแสร่ำลือว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย
ที่มาที่ไปเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค. 2568 กับกรณีหวังซิง (หรือ ซิงซิง) นักแสดงหนุ่มชาวจีน ถูกหลอกให้เดินทางมาประเทศไทย อ้างว่ามีงานถ่ายภาพยนตร์หรือละครซีรี่ส์ แต่เมื่อมาถึงกลับถูกนำพาข้ามชายแดนไปยังฝั่งเมียนมา ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจนกลับมาฝั่งไทยและกลับประเทศจีนได้ในอีกไม่กี่วันให้หลัง แต่ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ของจีนก็ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าหากมาไทยแล้วจะถูกลักพาตัวแบบดาราคนดังกล่าว จนชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะใช้ช่วงหยุดยาวตรุษจีน ประจำปี 2568 เบนเข็มไปพักผ่อนในประเทศญี่ปุ่นแทน
ในวันที่ 24 ก.พ. 2568 เช่นกัน บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่น Whoscall เปิดเผยรายงานวิเคราะห์สถานการณ์กลโกงของมิจฉาชีพในประเทศไทยตลอดปี 2567 ซึ่ง Whoscall พบการติดต่อทางโทรศัพท์ที่สุ่มเสี่ยงว่าอาจเป็นมิจฉาชีพถึง 38 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 20.8 ล้านครั้ง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 แต่ที่เพิ่มอย่างมากคือการส่ง SMS สุ่มเสี่ยงเข้าข่ายหลอกลวงหรือเป็นอันตราย ที่สูงถึง 130 ล้านครั้งในปี 2567 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับสถิติ 58 ล้านครั้งของปี 2566
และแม้จะเป็นมุขเดิมๆ อย่างการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตลอดจนบุคคลหรือหน่วยงานที่มีชื่อเสียง อ้างมีพัสดุตกค้าง ฯลฯ แต่ก็ยังคงถูกใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมิจฉาชีพจะเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก โลภบ้าง กลัวบ้าง กดดันให้เหยื่อเร่งโอนเงินออกไปโดยเร็ว เรื่องนี้มีคำอธิบายโดย พ.ต.อ.เกรียงไกร พุทไธสง ผู้กำกับการกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ที่อ้างถึงหลัก Confirmation Bias มาอธิบายว่า เมื่อเชื่อในสิ่งใดแล้ว สมองของคนคนนั้นจะกลั่นกรองข้อมูลไว้เฉพาะที่เชื่อนั้น
เช่น เชื่อคนที่มีหน้าตาในสังคม หรือเชื่อคนในโลกออนไลน์ที่บัญชีมียอดรับชม (View) กดถูกใจ (Like) ติดตาม (Follow) สูงๆ ซึ่งหากมีสติก็จะเกิดการคิดเชิงวิเคราะห์ เช่น ทำไมต้องให้โอนเงินเข้าบัญชีบุคคล หรือในเมื่อเป็นคนที่มีชื่อเสียงและรายได้มากทำไมต้องมาสอนเราให้ลงทุน แต่ปัญหาคือมิจฉาชีพจะโจมตีไปที่อารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้เหยื่อไม่มีสติ จะได้เชื่อแต่ข้อมูลเฉพาะที่มิจฉาชีพบอกเท่านั้น
และด้วยความที่บุคคลภายนอกเป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้มิจฉาชีพหลอกเหยื่อไม่สำเร็จ เช่น คนคนหนึ่งกำลังคุยกับมิจฉาชีพ กำลังถูกกล่อมให้ร่วมลงทุน สุดท้ายอาจไม่เสียเงินเสียทองก็ได้หากมีคนอื่นเดินมาได้ยินหรือได้เห็นบทสนทนา แล้วชี้ชัดได้ว่าลักษณะนี้เข้าข่ายหลอกลวงแน่นอน จึงไม่แปลกที่มิจฉาชีพจะพยายามย้ำกับเหยื่อว่าห้ามติดต่อกับบุคคลอื่น อ้างเกี่ยวข้องกับคดีบ้าง หรือถึงขั้นหลอกให้เหยื่อตั้งระบบโอนสายเพื่อที่คนอื่นๆ โทรศัพท์เข้ามาจะได้ไม่ต้องรับ เพื่อที่จะไม่มีช่วงเวลาให้หยุดคุยกับมิจฉาชีพ จึงอยากแนะนำให้คุยกับคนรอบข้างกันให้มากขึ้น
“คนร้ายจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Social Engineering (วิศวกรรมทางสังคม) ก่อน ก็คือเข้าไปศึกษาเราก่อนยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราแชร์ตัวเองในโลกโซเชียลว่า เราชอบทำบุญ วันดีคืนดีจะมีคนที่มีวิถีชีวิตทำบุญมาคุยกับเราเราชอบเลี้ยงแมวก็จะมีคนพวกนี้มาคุยกับเรา จนกระทั่งเรามีความรู้สึก แล้วเขาก็จะประเมินว่าเหยื่อนี้ควรจะต้องหลอกเท่าไร คนนี้หลอกแสนหนึ่งเลิก คนนี้หลอกยาวๆ หลายร้อยล้านยังได้อยู่
เขาก็จะสร้างประวัติที่มันสอดรับกับตัวเรามาหลอก สมมุติว่าบางเนื้อหาที่คนร้ายใช้ก็คือถ้าเราสนใจเรื่องลงทุน หารายได้พิเศษ เนื้อหาพวกนี้ก็จะเข้ามา ซึ่งเราก็มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง คือตัว Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ไม่ใช้เป็นแพลตฟอร์มที่ประเทศไทยเราใช้ ฉะนั้นปัญหาก็คือเราไม่สามารถไปควบคุมเนื้อหา ควบคุมการค้ำประกันจากบริษัทแพลตฟอร์ม ยืนยันตัวตนไม่ได้ นี่คือปัญหา” พ.ต.อ.เกรียงไกร กล่าว
อีกด้านหนึ่ง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวในรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 แนะนำว่า “ไทยต้องอาศัยโอกาสนี้เข้าไปเป็นผู้กำกับร่วมกับจีน” รวมถึงต้องดึงประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เข้าไปด้วย และนอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องขยายผลไปให้ถึงแหล่งผลิตยาเสพติด ซึ่งเชื่อกันว่าสารตั้งต้นที่นำไปใช้ผลิตมาจากจีนและอินเดีย รวมถึงกองกำลังติดอาวุธที่มีอิทธิพลเหนือพื้นที่ที่ใช้เป็นโรงงานยาเสพติดมาจากที่ใด “และถ้าจะให้ดีต้องดึงชาติตะวันตกเข้ามาด้วย” เพราะยาเสพติดถูกส่งไปยังตลาดในประเทศเหล่านั้น
ก็ต้องมาดูกันว่า ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ประกาศกร้าวเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 “ไม่จบไม่เลิก” กับการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะทำได้จริงมาก–น้อยเพียงใด!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี