ประเทศไทยยุคปัจจุบันมีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธารชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร ถามว่าทำไมต้องบอกกล่าวเช่นนั้น ตอบว่า เพราะมันเป็นความจริงทุกประการ และเป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับโดยนิตินัย ได้รับการยอมรับจากหน่วยราชการทุกหน่วย แต่ก็มีประชาชนอีกจำนวนมากไม่สามารถยอมรับหลักนิตินัยได้ เพราะผู้มีสติปัญญาต่างรู้ว่าความจริงโดยนิตินัย เป็นความจริงที่ไม่ใช่ความจริงในแง่ของการยอมรับนับถือด้วยสติปัญญา และด้วยหัวจิตหัวใจของประชาชน
ถามต่อไปว่า หากแพทองธารไม่ใช่ลูกของทักษิณ แพทองธารจะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ และถามต่อไปว่า หากทักษิณมิใช่พ่อของแพทองธารที่กำลังกินตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณจะยังพยายามทำทุกทางเพื่อให้ตนเองมีอำนาจรัฐ ดังที่ทักษิณกระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรือไม่
ทำไมทักษิณจึงต้องการกลับมามีอำนาจรัฐ ทำไมทักษิณจึงต้องพยายามทุกหนทางเพื่อส่งน้องเขย (สมชาย วงศ์สวัสดิ์) และน้องสาว (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
ร่วมถึงลูกสาวคนสุดท้องไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำไมทักษิณจึงไม่เลือกการอยู่แบบสงบ แล้วใช้เงินทองมากมายที่ตนเองสะสมไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยึดกุมอำนาจรัฐไว้ในกำมือ
ถามว่าทำไมทักษิณต้องพยายามตระเวนไปพูดหาเสียง และพูดทำนองโฆษณาชวนเชื่อสารพัดรูปแบบบนเวทีหาเสียงการแข่งขันเลือกตั้ง อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) ในหลายต่อหลายจังหวัด ถามว่าทำไมทักษิณจึงถูกมองว่ามีอิทธิพลชี้นำการทำงานของลูกสาวที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถามต่อไปว่าทำไมทักษิณจึงต้องพยายามทำให้ตัวเองกลายไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวด้านกิจการ ASEAN ของอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของมาเลเซีย
คนที่มีสติปัญญา ที่ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดต่างมองเห็นและเข้าใจตรงกันว่าทักษิณคือบุคคลผู้มีอิทธิพลเหนือนายกรัฐมนตรีที่เป็นลูกสาวของตน และยังมีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรีผู้สังกัดพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ว่าทักษิณจะพูดอะไรก็ตาม ก็ดูเสมือนว่าคำพูดนั้นคือคำสั่ง และคำพูดนั้นก็ได้กลายเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำไปปฏิบัติ
ธีรยุทธ สุวรรณเกษร คือผู้ที่เคยยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าทักษิณมีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย จนในที่สุดก็ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาเรื่องนี้ (ขอให้ผู้ที่ต้องการทบทวนรายละเอียดคำร้องของธีรยุทธกลับไปอ่านคำร้องที่ธีรยุทธยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อความชัดเจน)
แต่ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ได้พิจารณาตามคำร้องของธีรยุทธ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการมองในมุมของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ตั้งคำถามตลอดเวลาถึงพฤติกรรมของทักษิณที่แสดงออกในประเด็นการเมืองตลอดเวลา และมีผู้ย้ำว่าทักษิณคืออดีตนายกรัฐมนตรีที่แสดงพฤติกรรมการเมืองเสมือนกับเป็นนายกรัฐมนตรีตลอดเวลา
ตลอดระยะเวลาที่ทักษิณอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาผู้นี้แสดงให้สาธารณชนเห็นเป็นประจำว่าเขาคือผู้ที่สร้างเรื่องราวที่เต็มไปด้วยสีสันมากกว่าสาระมาโดยตลอด และคนที่เข้าใจพฤติกรรมการเมืองของทักษิณก็รู้เหมือนๆ กันว่าเขาคนนี้คือผู้ที่ใช้การตลาดนำการเมืองมาโดยตลอด แล้วที่มากกว่านั้นคือสาธารณชนเข้าใจตรงกันอีกว่าเขาคนนี้คือผู้ที่เน้นการหว่านนโยบายประชานิยมสารพัดรูปแบบเพื่อล่อให้ประชาชนที่คิดไม่ทัน ไม่ทันคิด และไม่ชอบคิด รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในข่ายเห็นแก่ได้ รวมถึงกลุ่มที่เชื่อว่ารัฐบาลเป็นเสมือนเทพทันใจ เทพสารพัดนึกที่สามารถเสกให้ประชาชนได้ทุกอย่างตามที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ
ทักษิณมักป่าวประกาศโฆษณาชวนเชื่อในว่าจะให้สารพัดชนิดกับคนไทยที่เลือกพรรคการเมืองของเขาและจะทำให้คนไทยร่ำรวยได้โดยง่าย แต่ขณะเดียวกันทักษิณก็อ้างตลอดเวลาว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งจากอำนาจที่เขามองว่าเป็นของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แล้วก็อ้างด้วยว่าเขาคือผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเขาถูกกระทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 เขาป่าวประกาศและอ้างแบบนี้ตลอดเวลาว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกฎหมายไทย แต่สุดท้ายเมื่อเขาหนีคดีอาญาไปนานเกือบ 20 ปี แล้วเขาก็กลับประเทศไทยเมื่อปี 2566 แต่การกลับมาของเขาถูกมองว่าเขาไม่ได้อยู่ในกรอบของหลักนิติรัฐ เพราะเขาไม่ติดคุกตามความผิดที่ศาลได้พิพากษาลงโทษเขา
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทักษิณอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำรัฐประหารรัฐบาลของเขาเมื่อปี 2549 จึงถึงหักล้างด้วยคำถามว่าการกลับประเทศไทยเมื่อปี 2566 นั้น ทักษิณอยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรมจริงหรือ หรืออาจจะถามกลับได้ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีความสามารถบังคับใช้กับทักษิณได้จริงหรือจนทำให้มีคำกล่าวในสังคมไทยว่า การกลับไทยของทักษิณทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยถูกทำลายลงอย่างราบคาบ และทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยบอกว่าถึงยุคล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมไทยแล้ว และคนไทยจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่บอกว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีสองมาตรฐาน รวมถึงตอกย้ำความคิดความเชื่อที่ว่าคุกไทยมีไว้ขังหมาเท่านั้น
เป็นความจริงที่ยิ่งกว่าจริงคือทักษิณแสดงบทบาทการเมืองเด่นชัดมากขึ้นเป็นลำดับเมื่อเขากลับประเทศไทยเมื่อปี 2566 และบทบาทการเมืองของเขาเด่นชัดมาก
ยิ่งขึ้นเมื่อเขาสามารถครอบครองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ทุกวันนี้คอการเมืองไทยจำนวนมากมองว่าสังคมไทยกลับเข้าไปอยู่ในระบอบทักษิณอีกครั้ง เพราะทักษิณคือตัวหมากสำคัญของการเมืองไทย เมื่อบทบาททางการเมืองของทักษิณเด่นชัดมากขึ้น ก็หมายถึงบทบาทการเมืองของแพทองธารลดน้อยถอยลง เพราะแพทองธารอยู่ใต้เงาของทักษิณ จนไม่สามารถเปล่งประกายความเป็นนายกรัฐมนตรีได้แม้แต่น้อย แต่นั่นคงไม่ใช่สาระสำคัญที่แพทองธารสนใจ เพราะแพทองธารน่าจะพึงพอใจมากที่สุด เมื่อเห็นว่าพ่อของเขาเล่นบทนายกรัฐมนตรีตัวจริง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต่อให้คนไทยจำนวนมากมายเชื่อตรงกันว่าทักษิณมีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย และมีอิทธิพลเหนือนายกรัฐมนตรี แล้วก็ยังเชื่อว่าทักษิณสามารถกำหนดนโยบายของพรรคเพื่อไทยได้ แล้วก็ยังสามารถส่งคนที่ทักษิณต้องการให้เข้าไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในสังกัดพรรคเพื่อไทยได้ แต่ทว่าหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่เห็นเช่นนั้น น่าอัศจรรย์ใจที่กระบวนการยุติธรรมยังมองว่าทักษิณไม่มีอำนาจเหนือพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล แล้วก็น่าสงสัยมากว่าทำไมผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทยไม่เคยตั้งข้อสงสัยเรื่องราวทางการเมืองสารพัดชนิดที่เกิดขึ้นในบ้านจันทร์ส่องหล้า และไม่เคยสงสัยเรื่องการตั้งก๊วนชวนกันกินมาม่า (ที่กลายเป็นบะหมี่สำเร็จรูปการเมืองไปเสียแล้ว) ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจมากๆๆ ที่สุดคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่เห็นว่าทักษิณมีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย แล้วก็ไม่เชื่อว่าทักษิณมีพฤติกรรมครอบงำพรรคเพื่อไทย
นั่นแสดงว่า กกต. คงเชื่ออย่างเต็มหัวจิตหัวใจว่า แพทองธารคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง แพทองธารคือผู้บริหารประเทศชาติ และแพทองธารเป็นอิสระจากคำบงการใดๆ ของทักษิณ
เมื่อ กกต. เชื่อเช่นนั้น ก็ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อตรงกันว่า กกต. ก็ไม่น่าจะเป็นอิสระจากอิทธิพลของนักการเมืองบางคน บางกลุ่ม และบางพรรค แต่ยังดีที่ไม่มีใครนำตราของพรรคการเมืองที่ประชาชนเชื่อว่ามีอิทธิพลเหนือ กกต. ไปวางไว้เหนือตราของ กกต. แต่แม้ไม่มีใครทำเช่นนั้น แต่ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยมองเห็นว่ามีหน้าของนักการเมืองบางคนอยู่บนหน้าและบนหัวของ กกต. บางรายมาตั้งนานแล้ว...
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี