ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ประเทศไทยมีพัฒนาการในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการคมนาคมการศึกษา สังคม และวัฒนธรรม หนึ่งในพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่งของพระองค์คือการเลิกทาสและการเลิกไพร่ อันเป็นการยกเลิกระบบที่คนชั้นสูง ตั้งขึ้นเพื่อกดขี่ราษฎรให้ทำงานรับใช้หรือส่งทรัพย์สินให้ โดยไม่มีกำหนดว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
นักประวัติศาสตร์บางท่านวิเคราะห์ว่า อุปสรรคสำคัญในการเลิกทาสครั้งนั้น ไม่ได้อยู่ที่เฉพาะคนชั้นสูงเท่านั้น แต่อุปสรรคสำคัญอยู่ที่ทาส ซึ่งเคยชินกับการมีที่อยู่ที่กินจากการรับใช้นาย พวกทาสกลัวว่า เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร พวกทาสเองนั่นแหละร้องโอดครวญโวยวายขอเป็นทาสต่อไป
ปัญหาทาสไม่ยอมเป็นอิสระจากการรับใช้นาย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ฉันใด คนไทยที่เป็นทาสฝรั่งยุคใหม่ใน พ.ศ. 2568 ก็ร้องโอดครวญโวยวายไม่ยอมเป็นอิสระจากนายทาสฝรั่งฉันนั้น ดังปรากฏการณ์ไทยทาสฝรั่ง พากันออกมาโวยวายว่า ประเทศไทยส่งอุยกูร์กลับไปตายที่บ้านตัวเอง การร้องโวยวายของทาสในเมืองไทย โดยไม่ลืมตามองว่า นายฝรั่งที่พวกทาสไทยรับใช้นั่นแหละ เป็นตัวการสำคัญที่ส่งคนกลับไปรับทุกข์ทรมานมากกว่าประเทศไทย
เพียง 48 ชั่วโมง หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ รับตำแหน่ง เขาลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร เร่งจัดการผู้อพยพผิดกฎหมายในประเทศราว 11 ล้านคน และต่อมาเขาได้ออกคำสั่งส่งทหารเพิ่มอีก 1,500 นาย ไปประจำการทางตอนใต้ของสหรัฐในพื้นที่ติดพรมแดนติดกับประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้อพยพใช้ลักลอบเข้าสหรัฐฯ และมีศูนย์พักพิงผู้อพยพหลายสิบแห่งในพื้นที่ด้วย
ทหารที่ส่งไปปฏิบัติการที่นั่น จับผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กล่ามโซ่ติดกันแล้วต้อนพวกเขาขึ้นเครื่องบินทหารนำไปปล่อยในสนามบินประเทศเม็กซิโก โคลอมเบีย และบราซิล กระทำต่อผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย เหมือนคนใจร้ายนำสุนัขไปใส่รถปล่อยทิ้งฉันใด ทหารอเมริกันก็จับผู้หนีเข้าเมืองผิดกฎหมายล่ามโซ่ขึ้นเครื่องบินไปปล่อยทิ้งฉันนั้นซึ่งผิดหลักการส่งผู้เข้าเมืองกฎหมายกลับ ผิดหลักมนุษยธรรม นิติธรรม จนประเทศเม็กซิโกกับโคลอมเบีย โวยวายไม่ยอมให้เครื่องบินทหารอเมริกันลงจอดในสนามบินในประเทศพวกเขา
แต่อเมริกันผู้จองหองดื้อรั้น ยังคงให้ทหารจับคนล่ามโซ่ ต้อนขึ้นเครื่องบินทหาร ไปปล่อยทิ้งประเทศอื่นในยุโรป แอฟริกาที่เครื่องบินทหารอเมริกันสามารถลงจอดได้ ยังไม่มีตัวเลขเป็นทางการว่า ทหารอเมริกันจับคนขึ้นเครื่องบินทหารไปปล่อยทิ้งจำนวนเท่าไหร่ แต่ประเมินว่าไม่น้อยกว่าสามพันคน
ปฏิบัติการจับคนล่ามโซ่ขึ้นเครื่องบินทหารไปปล่อยทิ้งให้ได้รับทุกข์ทรมาน ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีคำประณามจากนักสิทธิมนุษยชนจอมปลอมในประเทศไทย และไม่มีเสียงประณามจากฝรั่งหัวแดง หัวดำด้วยกัน
แต่พอไทยส่งอุยกูร์เข้าเมืองผิดกฎหมาย 40 คนกลับบ้านในเมืองซินเจียง จีนแผ่นดินใหญ่ นักสิทธิมนุษยชนจอมปลอม ที่เป็นทาสในเรือนเบี้ยของอเมริกันพากันร้องโวยวาย ประณามว่า ประเทศไทยส่งอุยกูร์ไปตาย และเมื่อเสียงร้องโวยวายของทาสได้ยินถึงหูนายทาสอเมริกัน สถานทูตสหรัฐฯในประเทศไทยขานรับเสียงร้องโวยวายว่าประเทศไทยส่งคนไปตาย รีบออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทยราวกับได้นัดหมายกันไว้กับพวกทาสที่ร้องโวยวาย
นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งไม่รู้ว่า อาเซียนอยู่ที่ไหน มีชาติใดรวมทั้งประเทศไทยเป็นสมาชิกหรือไม่ แต่ด้วยความที่เขาถูกปลูกฝังให้เกลียดชังจีนเข้าไส้ เมื่อได้ยินเสียงทาสในเรือนเบี้ยร้องโวยวายว่า ประเทศไทยส่งอุยกูร์ไปให้จีนฆ่า
นายมาร์โค รูบิโอ ก็ออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทย แบบตีวัวกระทบคราดไปถึงประเทศจีนทันที โดยลืมนึกไปว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์มีนโยบายปล่อยทาสในเรือนเบี้ยยุคใหม่ ด้วยการตัดเงินช่วยเหลือต่างประเทศส่วนใหญ่ ตัดเงินงบประมาณเพื่อการพัฒนานานาชาติ หรือ USAID และตัดเงินที่กระทรวงต่างประเทศที่ใช้เพื่อสร้างความวุ่นวายในประเทศเป้าหมาย รวมทั้งประเทศไทยในข้ออ้างว่า“เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยแห่งชาติ” (National Endowment For Democracy=NED)
ซึ่งนักสิทธิมนุษยชน นักประชาธิปไตยจอมปลอมในประเทศไทยที่ออกมาโวยวายว่า ประเทศไทยส่งอุยกูร์ไปตายส่วนใหญ่รับเงินอุดหนุนจาก USAID และ NED หรือไม่ ก็จากองค์กรใดองค์กรหนึ่งในอเมริกา ที่ยังฝังใจใน Deep State หรือรัฐพันลึกซึ่งมีอำนาจแฝงเหนือรัฐบาลวอชิงตัน
สถานทูตสหรัฐฯในประเทศไทย และทาสในเรือนเบี้ยที่รับใช้ยังมีความหวังว่า เพราะอเมริกาเป็นปรปักษ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้น เรื่องอะไรที่ดิสเครดิตจีนได้ ทาสในประเทศไทยเชื่อว่า มันเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันให้ Deep State ในอเมริกา ยังต้องเลี้ยงทาสในประเทศไทยเอาไว้
เมื่อพิเคราะห์จากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์มอบหมายให้นายอีลอน มัสก์ บริหารจัดการ ที่สั่งปลดพนักงานราชการในอเมริกากว่าหนึ่งหมื่นตำแหน่ง ปลดเจ้าหน้าที่ยูเสดเฉพาะในอเมริกากว่าสามพันเหลือเพียง 300 คนและตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศของยูเสดจาก 60,000 ล้านดอลลาร์ เหลือน้อยกว่า 10% นอกจากนั้นยังตัดงบประมาณทั้งหมดของ NED และงบประมาณเพื่อใช้กับกลุ่มหลากหลายทางเพศและความเท่าเทียมกันทั้งหมด
จึงเชื่อได้ว่า มาตรการตัดการช่วยเหลือต่างประเทศของทรัมป์ ต้องทำให้ทาสรับใช้ในเมืองไทยฝันสลายและการโวยวายประณามประเทศไทยว่าส่งอุยกูร์ไปตาย เป็นงานชิ้นสุดท้ายของทาสในประเทศไทย ที่ไม่ยอมเป็นอิสระจากความเป็นทาสอเมริกัน และตะวันตก
บรรดา สส. สว. เอ็นจีโอ และนักวิชาการร่านวิชาในประเทศไทยต่างก็ตระหนักเหมือนกับที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกล่าวว่า
“เนรเทศหรือส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย กลับไปประเทศต้นทาง เป็นกติกาสากล ช่วยลดภาระของทุกประเทศ จึงทำกันมากขึ้นในปัจจุบันแต่ก็ต้องให้เขาปลอดภัย มีสิทธิขอลี้ภัยและไปในที่เขาและครอบครัวอยากไป ตามกติกาสากลเหมือนกัน และตามหลักมนุษยธรรม และเมตตาธรรมของทุกศาสนา...”
การส่งกลับอุยกูร์ 40 คน ประเทศไทยปฏิบัติตามกติกาสากล และกฎหมายทุกประการกล่าวคือ ประเทศต้นทางรับประกันความปลอดภัย และผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายสมัครใจกลับบ้าน หลังจากถูกกักตัวอยู่ในกองตรวจคนเข้าเมืองไทยนานกว่า 11 ปี ซึ่งไม่มีทีท่าว่าประเทศที่สามรวมทั้งสหรัฐฯ จะรับไปตั้งรกรากใหม่ ตามที่พวกเขาถูกหลอกมาตั้งแต่ปี 2557 ประกอบกับจีนซึ่งเป็นประเทศต้นทางให้คำมั่นกับรัฐบาลไทยว่า จะไม่ดำเนินคดีกับอุยกูร์กลุ่มนี้
เพื่อยืนยันว่าให้อุยกูร์ 40 คนกลับไปใช้ชีวิตเป็นปรกติกับครอบครัว ทางการจีนถึงกับเช่าเหมาลำเครื่องบินพาณิชย์มารับตัวกลับ และให้นายฉัตรชัยบางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยร่วมเดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกับอุยกูร์ที่ส่งกลับ เพื่อเป็นพยานในคำมั่นของจีนว่า ให้ผู้ที่ถูกส่งตัวไปจากประเทศไทยใช้ชีวิตตามปกติ
เมื่อประเทศจีนซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลก ทำถึงขนาดนี้มีแต่คนไม่ปกติเท่านั้น ที่ไม่เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ที่ดีของจีนมีต่อประเทศไทยมานาน 50 ปีที่สำคัญคนไทยต้องเชื่อมั่น และเคารพในเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของเลขาฯสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ร่วมเป็นพยานในปฏิบัติการส่งตัวอุยกูร์กลับบ้าน
คนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชน ต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทาสในเรือนเบี้ยของ Deep State อเมริกา ที่กล่าวหาว่า ส่งอุยกูร์ไปตายเพราะทาสเหล่านี้มีหน้าที่ดิสเครดิตประเทศไทย ทำลายชื่อเสียงประเทศจีน
คนไทยต้องไม่หวั่นไหวกับคำขู่อันชั่วร้ายของพวกมือถือสากปากถือศีลอย่าง Deep State อเมริกัน ที่ปากพร่ำว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของอุยกูร์ แต่เมื่อประเทศไทยขอให้รับอุยกูร์ไปอยู่อเมริกา ก็ไม่ยอมรับภาระนั้น
ดังนั้น คนไทยต้องไม่ใส่ใจคำประณามของอเมริกา ที่เหมือนกับใช้นิ้วชี้หน้าด่าประเทศไทย แต่สี่นิ้วที่เหลือหันกลับไปชี้หน้าด่าอเมริกันด้วยกันเอง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี