จากที่จะเป็นเวทียุติสงคราม ยุติความสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ก็กลายเป็นเวทีโต้คารมดุเดือดน้ำลายท่วมจอ
โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ปะทะคารมดุเดือดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ของสหรัฐฯ ที่ห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ของทำเนียบขาว นับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองของอดีตนักแสดงตลก ที่ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีผ่านการปั่นกระแส และผลักดันของตะวันตกและสหรัฐเอง
การปากแจ๋น และวิญญาณนักแสดงเข้าสิง ต้องการแสง ต้องการเวที และไม่ต้องการลงจากหลังเสือของเขาเอง กำลังนำพายูเครนและประชาชนทั้งประเทศไปอยู่บนปากเหว ปล่อยให้ความสูญเสียดำเนินต่อไป ท่ามกลางการพยายามหลอกตัวเองว่าหากได้รับการสนับสนุนจากยุโรปแล้วจะยังชนะรัสเซีย
ทั้งหมด เพราะไม่ต้องการลงจากหลังเสือ ทั้งที่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศยูเครนมากที่สุด ตั้งแต่มีประเทศยูเครนบนแผนที่โลก
1. หลังถูกไล่จากทำเนียบขาว สหรัฐ ประธานาธิบดียูเครนก็เร่ไปขายแนวทางรอด กับยุโรปต่อ (จริงๆ คุยไว้ก่อนหน้านี้แล้ว)
รายงานข่าว ระบุว่า เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส แถลงว่า รัฐสมาชิกสหภาพยุโรปควรลงทุนด้านการปกป้องยุโรปอย่างหนักผ่านการกู้ร่วมหรือกลไกเสถียรภาพยุโรป (ESM) โดยสหภาพยุโรปอาจต้องการเงินทุนตั้งต้นเพื่อการนี้ราว 2 แสนล้านยูโร (ราว 7.1 ล้านล้านบาท)
อนึ่ง ข้อมูลสถิติจากคณะมนตรียุโรประบุว่างบประมาณการป้องกันประเทศทั้งหมดของรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปในปี 2024 สูงราว 3.26 แสนล้านยูโร (ราว 11.6 ล้านล้านบาท) ซึ่งคิดเป็นราวร้อยละ 1.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหภาพยุโรป
ปธน. ฝรั่งเศส มาครง และเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ได้เสนอ “การสงบศึก” ในยูเครนเป็นระยะเวลา 1 เดือน พร้อมเน้นย้ำว่ากองกำลังยุโรปจะเข้าประจำการในยูเครนหลังจากเกิดการสร้างสันติภาพแล้วเท่านั้น
แค่คิดอย่างมีสติก็รู้แล้วว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่ยุโรปจะมาเทเงินเพื่อยูเครน ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป โดยที่โอกาสชนะรัสเซียแทบไม่มี แล้วแถมจะตกเป็นเป้านิวเคลียร์ของรัสเซียในฐานะคู่สงครามโดยตรงอีกต่างหาก
ที่สำคัญ คนในชาติยุโรปได้ทยอยคว่ำผู้นำที่เคยหนุนยูเครนผ่านการเลือกตั้งไปเกือบหมดแล้ว
2. จริงๆ ผู้นำยุโรป ทั้งมาครง ทั้งสตาร์เมอร์ ได้เข้าไปพบประธานาธิบดีสหรัฐก่อนที่เซเลนสกีจะไปทำขายหน้า
และแน่นอน ทั้งสองคน ต่างถูกประธานาธิบดีสหรัฐ หักล้างแนวทางที่จะหนุนยูเครนรบต่อ ด้วยคำถามง่ายๆ จากสหรัฐที่สรุปความได้ว่า
หากไม่มีสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะกำลังพล หรือยุทโธปกรณ์ หรือเงินสนับสนุน ยุโรปจะหนุนยูเครนสู้รบกับรัสเซีย แล้วได้รับชัยชนะเหนือรัสเซียจริงหรือ? ตรงกันข้าม จะสูญเสีย
มหาศาล และพ่ายแพ้ช้าหรือเร็วเท่านั้น ?
3. บทเรียนจากผู้นำยูเครน และความสูญเสียของยูเครน
3.1 อย่าได้เลือกคนที่โง่และหิวแสงแบบนี้ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองเด็ดขาด
Nat Tharapong Rungroj ได้ให้มุมมองแบบง่ายๆ แต่คมคาย ระบุว่า
“..เห็นข่าวเซเลนสกี้มาออกทีวีให้ลุงทรัมป์เชือดกลางสี่แยกแล้ว เพื่อนๆถามผมว่าคิดอย่างไร และนี่คือความคิดเห็นของผมครับ
คำตอบสั้นๆคือ ผมเห็นว่านายเซเลนสกี้คือผู้นำที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ขอให้เราจำไว้ว่าอย่าได้เลือกคนที่โง่และหิวแสงแบบนี้ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองเด็ดขาด
และต่อไปนี้คือคำตอบแบบยาว คือเหตุผลที่ทำให้ผมคิดแบบนี้ มันมีเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เราควรรู้ด้วยครับ
1. ยูเครนเป็นชาติที่แตกแยกกันด้วยประชากรที่มีปะปนกันอยู่สองเชื้อชาติอยู่แล้ว คือ คนเชื้อสายยูเครน กับคนเชื้อสายรัสเซีย ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มนี้มีจำนวนใกล้เคียงกันครับ
2. ถ้าถามว่าทำไมเป็นเช่นนี้ คำตอบก็คือ รัสเซียและยูเครนเขาเคยเป็นประเทศเดียวกันคือโซเวียตมาก่อน เมื่อโซเวียตแตกออกมาเป็นหลายประเทศ ผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้ย้ายแยกหนีกันไปไหน บ้านอยู่ไหนก็ยังอยู่ที่เดิม
3. ผลการเลือกตั้งยูเครนแต่ละครั้ง ชนสองฝั่งก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาเรื่อยๆ ฝั่งไหนชนะก็จะได้ปธน.ฝั่งตัวเอง และปธน.ยูเครนแต่ละคนก็เอียงไปฝั่งอียูบ้าง ฝั่งรัสเซียบ้าง
4. ปี 2013 ปธน.ยูเครนชื่อยานูโควิช คนคนนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญคือ อียูก็มาชวนไปเข้าอียู รัสเซียจึงเสนอเงินช่วยเหลือ 15,000 ล้านเหรียญแลกกับการไม่ไปเข้าอียู ในขณะที่อียูไม่ได้เสนออะไร แค่มาชวนเฉยๆ
5. ปธน.ยานูโควิชจึงรับข้อเสนอของรัสเซีย อเมริกาจึงไปสนับสนุนให้มีการก่อกบฏในยูเครนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล จนนายยานูโควิชต้องลี้ภัยไปอยู่รัสเซีย
6. ปี 2014 รัฐมนตรียุโรปก็ชวนกันไปหว่านล้อมกับนายยานูโควิชว่า “ให้ลาออกซะ” เพื่อที่อเมริกาและยุโรปจะได้ตั้งปธน.ยูเครนที่โปรอียูขึ้นมาแทน
7. รัสเซียจึงเคลื่อนกำลังเข้ายึดแคว้นไครเมีย และสภาประชาชนของแคว้นนี้ก็ลงมติประกาศว่าฉันจะไปอยู่กับรัสเซีย เพราะผู้คนในแคว้นนี้คือคนรัสเซียเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว
8. ถ้าถามว่า “ทำไมรัสเซียจึงอะไรกับยูเครนนัก? ทำไมไม่ปล่อยๆไปเหมือนจอร์เจีย?”
9. คำตอบคือ “ภูมิรัฐศาสตร์ครับ” กล่าวคือ ภูมิประเทศของยูเครนและรัสเซียคือแผ่นดินผืนราบเรียบแผ่นเดียวกัน ไม่มีภูเขาขวางเลย รัสเซียจึงมองว่าถ้ามีกองกำลังหรือขีปนาวุธต่างชาติมาตั้งอยู่บนแผ่นดินยูเครน กองกำลังนั้นสามารถขึ้นรถถังวิ่งบุกตะลุยมาจนถึงรัสเซียได้ง่ายดายมาก
10. รัสเซียจึงถือว่ายูเครนเป็นหน้าบ้านของตนเอง เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองซีกโลกตะวันตกว่าคือสนามหลังบ้านของตนเอง
11. ทีนี้เมื่อนาโตซึ่งเป็นการรวมกลุ่มทางทหารของอเมริกาและพันธมิตรยุโรป พยายามหว่านล้อมชวนยูเครนมาเข้านาโต รัสเซียจึงยอมไม่ได้และจะไม่มีวันยอมที่จะให้มีขีปนาวุธของสหรัฐมาตั้งประจัญอยู่ชายแดนตนเอง
12. รัสเซียจึงยอมที่จะทำลายยูเครนให้สิ้นเสียดีกว่าที่จะให้นาโตมาประชิดพรมแดน
ทีนี้บางท่านอาจจะมีคำถามว่า “เอ้า ก็ยูเครนเขามีเอกราชของเขา เขาอยากจะไปอยู่กับใครมันก็เรื่องของเขาสิ”
คำตอบของผมคือ“คนที่จะมาเป็นผู้นำของชาติอย่างยูเครน ควรจะต้องรู้อยู่แล้วว่าสถานะของยูเครนนั้นยืนอยู่บนคมหอกคมดาบครับ การเลือกเส้นทางที่จะแตกหักกับชาติมหาอำนาจข้างบ้านอย่างรัสเซียคือทางเลือกที่โง่ที่สุด”
ชาติเพื่อนบ้านนั้น ต่อให้ชั่วฟ้าดินสลายยังไงก็ต้องอยู่กันไปตลอดกาล สิ่งที่คนเป็นประธานาธิบดีต้องคิดคือ ทำยังไงให้คนในชาติตัวเองอยู่ได้โดยไม่เกิดปัญหารุนแรง
และต้องไม่โง่พอที่จะเอาประเทศตัวเองไปเป็นเบี้ย จนกระทั่งบ้านเมืองล่มสลาย ผู้คนลี้ภัยสงครามแบบนี้
และสุดท้ายเราก็ได้เห็นประธานาธิบดียูเครนต้องไปนั่งออกทีวีขอเงินจากทรัมป์ให้ลุงทรัมป์และแวนซ์ด่าไลฟ์ออกทีวีจนเสียเกียรติภูมิชาติตัวเอง
นี่ละครับ ผลของการเลือกตัวตลก เลือกคนโง่และหิวแสงแบบเซเลนสกี้มาเป็นผู้นำประเทศ
ใครอยากชมเซเลนสกีโดนทรัมป์ตบกลางสี่แยก เชิญที่ลิงก์นี้ครับ https://youtu.be/v_kTNIYsFnQ?si=oOHhB6V7Yred3rO8
น่าอับอายมาก”
3.2 เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองเฉียบคม ว่าด้วยเรื่อง “ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ”
ใจความสำคัญ ระบุว่า
“...ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดยประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน
1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย
2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014
โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)
4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้
5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ...”
สรุป... หากไม่เป็นหุ่นเชิดตะวันตกในวันนั้น คงไม่ต้องเร่ขาย... ในวันนี้
นับเป็นบุญประเทศไทย ที่ไม่ได้คนแบบเซเลนสกี นักการเมืองขวัญใจพวกสามนิ้วส้มหิวแสง เดินตามก้นตะวันตกอย่างเดียว ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศไทย
มิฉะนั้น ชะตากรรมประเทศไทยคงไม่ต่างจากยูเครน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี