ช่วงนี้ปัญหาคอร์รัปชันดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดูได้จากผลดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันล่าสุดที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเพิ่งเปิดเผยออกมาประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 34/100 คะแนนในอันดับที่ 107 ของโลก ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 43 คะแนน และเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว คะแนนของเราก็ยังลดลงอีก 1 คะแนน สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยยังคงแย่ลงเรื่อยๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยหล่นมาอยู่อันดับ 5 ของอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยอยู่ในอันดับที่ดีกว่า
ประกอบกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันต่างๆ ที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่ประสบปัญหาจนการเจริญเติบโตของ GDP ต่ำเกือบที่สุดใน ASEAN ชนะเพียงเมียนมาที่กำลังประสบภาวะสงครามภายในประเทศอยู่ และการที่รัฐบาลแทบจะไม่ได้ออกมาพูดเรื่องคอร์รัปชันเลยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้มองไปทางไหนก็ดูจะไม่เห็นความหวังเลย
หลายคนอาจมองว่าคอร์รัปชันกับปัญหาเศรษฐกิจเป็นคนละเรื่องกันแต่แท้จริงแล้วทั้งสองปัญหาเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด คอร์รัปชันไม่ใช่แค่เรื่องของการโกงกินเงินแผ่นดินเท่านั้น แต่มันคือตัวการสำคัญที่หยุดยั้งการพัฒนาของประเทศในทุกๆ ด้านทั้งการศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจ เพราะเงินที่ควรจะเอาไปใช้ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนามันรั่วไหลออกไป นโยบายที่ออกมาก็เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ผลกระทบที่ควรจะเกิดไม่เกิดขึ้นจริง เศรษฐกิจจึงซบเซาลงเรื่อยๆ ในขณะที่ปัญหาคอร์รัปชันกลับเพิ่มสูงขึ้นแล้วไทยเรายังมีความหวังอยู่อีกหรือ
ท่ามกลางความสิ้นหวังนี้หากมองให้ลึกซึ้ง เรากลับพบประกายแสงเล็กๆ ที่กำลังส่องสว่างขึ้นในที่มืด และที่น่าแปลกใจคือ ความหวังนี้กลับมาจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวร้ายที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับผมแล้ว ข่าวที่ทำให้รู้สึกแย่มากๆ ข่าวหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา กลับกลายเป็นการให้ความหวัง นั่นคือเรื่องของสำนักงานประกันสังคมที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้งบประมาณในหลายโครงการที่มีความสุ่มเสี่ยง เช่น การเดินทางไปดูงานต่างประเทศด้วยที่นั่งชั้นหนึ่ง การจัดทำปฏิทิน และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีราคาสูง
ข่าวนี้ดูเร็วๆ เหมือนจะซ้ำรอยแผลให้เห็นการไร้ความหวังของไทย แต่จริงๆ แล้ว มันทำให้ได้เห็นโอกาสสำคัญ นั่นคือ การเปิดเผยข้อมูลนำไปสู่การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้จริง
คิดดูดีๆ ว่าในอดีต หน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานก็มีการคอร์รัปชันกัน แต่ไม่มีประชาชนสามารถรู้หรือตั้งคำถามได้เลย ทำกันมานาน และทำกันจนเป็นนิสัย แต่วันนี้เราได้เห็นว่า ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลบางส่วนที่ทำให้ตั้งคำถามต่อการทำงานและใช้งบประมาณของหน่วยงานได้
การเปิดเผยข้อมูลทำให้เกิดเป็นกระแสสังคมที่รุนแรง ประชาชนและสื่อสามารถออกมาทำงานได้อย่าง
เต็มที่ เพื่อตั้งคำถามถึงความสุ่มเสี่ยงการคอร์รัปชัน กระเทือนไปถึงรัฐมนตรีและหัวหน้าหน่วยงานต้องออกมาชี้แจงหลายครั้งภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าสมัยก่อน เราคงไม่ได้เห็นภาพนี้แน่ๆ
มันเป็นการพิสูจน์ว่า การเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นมาตรฐานเป็นก้าวแรกของการต่อต้านคอร์รัปชันจริงๆ
เราได้เห็นภาพ สส. ใช้ข้อมูลจาก ACT Ai ที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันร่วมพัฒนาขึ้นมา เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณะและตั้งคำถามการใช้งบประมาณโครงการที่ดูจะมีความสุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็น ผอ.โรงเรียนที่โกงเงินอาหารกลางวันนักเรียนติดคุก เราได้เห็นนายก อบจ. ที่ซื้อเสาไฟฟ้ากินรีราคาแพง ถูกป.ป.ช. ชี้มูลความผิด และอีกหลากหลายตัวอย่างที่เกิดจากประชาชนที่ตื่นรู้สู้โกง สามารถเข้าถึงข้อมูลเปิดได้ และไม่ยอมให้ใครมาโกง
ความสำเร็จของคดีเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่ข้อมูลถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะ แล้วประชาชนทั่วไปอย่างพวกเราได้มีโอกาสเข้าไปเห็น ได้แชร์ต่อ ได้แสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็นกระแสสังคมที่ขยายวงกว้าง แรงกดดันจากสังคมทำให้หน่วยงานตรวจสอบต้องเข้ามาทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว ไม่สามารถเพิกเฉยหรือละเลยได้อีกต่อไป
ประชาชนจะมีพลังมากขึ้นเมื่อข้อมูลของรัฐเปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่าย การผลักดันให้เกิด “ข้อมูลเปิด” (Open Data) และ “รัฐบาลเปิด” (Open Government) จะช่วยให้ประชาชนทุกคนสามารถติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีคนพิเศษหรือหน่วยงานเฉพาะทางเข้าไปตรวจสอบอีกต่อไป ทุกคนสามารถเป็นกลไกในการตรวจสอบได้ เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและความใส่ใจเท่านั้น
การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐไม่ใช่เพียงการสร้างความโปร่งใสเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างกลไกที่ประชาชนจะใช้ในการติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้างสังคมที่มีส่วนร่วมในการป้องกันการคอร์รัปชันตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่แค่ตามจับผิดเมื่อเกิดการทุจริตขึ้นแล้ว
อีกทั้งยังช่วยสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคมว่าทุกการใช้จ่ายงบประมาณต้องถูกตรวจสอบได้ ข้าราชการและนักการเมืองต้องพร้อมที่จะตอบคำถามและชี้แจงต่อสาธารณะ การเปิดเผยข้อมูลจะช่วยลดช่องว่างที่อาจนำไปสู่การทุจริต ทำให้การวางแผนการใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะรู้ว่าประชาชนกำลังจับตามอง
อยากให้ภาพเหล่านี้จุดประกายความหวังว่าเรามีทางออกแล้ว คือการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นมาตรฐานและครบถ้วน เราต้องช่วยกันผลักดันสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทุกหน่วยงาน ไม่ยอมให้ใครอ้างเหตุผลที่ไม่มีหลักการในการปกปิดข้อมูลได้ ร่วมกันประจานและผลักดันให้รัฐบาลขับเคลื่อนเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้มากขึ้น
เพราะสิ่งนี้ แม้จะทำให้เราสูญเสียกำลังใจในตอนแรกเมื่อได้เห็นความไม่โปร่งใส แต่มันคือการสร้างความหวังให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง
รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี