สนามการเมืองไทยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง และส่วนที่เกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง และความเป็นไปอย่างไร ทั้งใน 2 ส่วนดังกล่าว มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความก้าวหน้าหรือไม่? อย่างไร? ต่อสังคมราชอาณาจักรไทย
ในกรณีแรก พรรคการเมืองทั้งหลายดูไม่ค่อยจะให้ความมั่นอกมั่นใจและความน่าเชื่อถือแต่อย่างใดต่อทั้งสมาชิกพรรคและต่อประชาชนชาวไทยโดยทั่วไป เพราะการเมืองทั้งหมดขึ้นอยู่กับองค์บุคคลหรือกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมาชิกพรรคทั้งหมด ขาดอุดมการณ์ที่แน่ชัดและขาดทิศทางที่จะนำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ดังจะเห็นได้ว่า
-พรรคเพื่อไทย เมื่อใดที่ขาดนายทักษิณ ชินวัตร ก็คงจะรวมตัวอยู่กันต่อไป ไม่ติด ไม่ได้
-พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลืมไปแล้วซึ่งนัยชื่อของพรรค และอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบสากล
-พรรคภูมิใจไทย ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มครอบครัวไม่กี่ครอบครัวที่รวมอยู่และยึดเหนี่ยวกันอยู่ได้ด้วยบุคคลเพียงคนเดียว และเมื่อใดที่ขาดหัวก็คงจะหาผู้สืบทอดเจตนารมณ์ได้ลำบาก
-พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็พึ่งองค์บุคคล โดยองค์บุคคลนั้นได้อำลาจากเวทีการเมืองไปแล้ว ก็เสมือนกับร่างกายที่ขาดหัว
ไม่รู้ว่าจะไปต่อกันอย่างไร
-พรรคพลังประชารัฐ แม้ยังมีหัวอยู่ แต่ทำตนเสมือนฤาษีจำศีล แถมขาดลูกศิษย์ลูกหาดีๆ ที่ยังมีอยู่ก็ล้วนแต่พวกเหลือขอทั้งนั้น
-พรรคชาติไทยพัฒนา ก็เล็กลงทุกวันๆ ที่ยังอยู่ได้ก็ด้วยเงินมรดกที่ผู้บิดามอบให้ไว้ เพื่อมีบทบาททางการเมืองต่อไป แต่เป็นบทบาทที่ไร้อุดมการณ์ และความลึกซึ้งในเชิงความคิด
-ส่วนพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ ต่างก็พึ่งองค์บุคคลเป็นสำคัญ ไม่มีความสามารถในการจะขยายสมาชิกและเครือข่าย ก็อยู่ไปวันๆ หนึ่ง เพื่อเป็นช่องทางให้ได้แสดงตัวและรักษาสถานภาพไว้ในระดับหนึ่ง
สรุปแล้ว บรรดาพรรคการเมืองของไทยไร้เสถียรภาพ และฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะรับใช้ประชาชนพลเมืองได้อย่างจริงจังทุกพรรคจึงจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงตัวอย่างใหญ่หลวง โดยเริ่มต้นที่การเปิดให้สมาชิกพรรคร่วมกันเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริง
ส่วนในสนามการเมืองโดยทั่วไป แม้ว่าจะเป็นคณะรัฐบาลผสม ซึ่งก็จะมีประเด็นปัญหาของการมีความเห็นต่างและการปรับตัวเข้าหากัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และสังคมก็มักจะให้โอกาสให้ปรับตัว ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้
แต่ที่สังคมไม่ยอมรับและไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งคือ การทะเลาะ (กัด) กันเอง และตั้งหน้าตั้งตาที่จะเป็นคู่อริกัน เช่น กรณีระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยในปัจจุบันนี้ เมื่อคิดที่จะขัดแข้งขัดขากันหักล้างโค่นล้มกัน ก็เลยไม่สามารถที่จะนำสติปัญญาและใช้เวลาไปกับการรับใช้สาธารณชนและประเทศชาติตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาและสาบานตนไว้ ส่งผลให้บ้านเมืองก็ชะงักงัน แล้วก็ถดถอยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งจัดได้ว่าการทะเลาะเบาะแว้งกันเองนี้เป็นโทษอันมหันต์ เพราะนำมาซึ่งความสับสนอลหม่าน การขาดความนับหน้าถือตา และความสูญเสียต่างๆ นานา
การจะกลับเนื้อกลับตัวก็คงเป็นเรื่องยากลำบาก ด้วยต่างยึดมั่นถือมั่น แต่อย่างน้อยก็ควรคิดอ่านและตัดสินใจให้มีการล้างกระดานหรือตั้งโต๊ะกันใหม่ ผ่านการยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ หรือการถอนตัวออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพื่อเปิดทางให้รัฐสภาได้ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ต่อไป
การไม่เลือกที่จะแก้ไขอย่างหนึ่งอย่างใดทำให้ประเทศชาติต้องถดถอย และความไม่พึงพอใจของประชาชนพลเมืองก็จะเข้มข้นขึ้น ซึ่งก็อาจนำไปสู่การขับไล่ แล้วก็จะมีการออกมาแสดงการสนับสนุน สังคมก็จะแบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ตึงเครียดมีผลให้ฝ่ายความมั่นคงต้องออกมาหย่าทัพ ปูกระดานหรือตั้งโต๊ะการเมืองกันใหม่อีก
แต่สังคมไทยไม่ควรต้องซ้ำรอยเส้นทางนั้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพรรคการเมืองและผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ มีสติและมีความออมชอม เห็นแก่บ้านเมืองเป็นหลัก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี