การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาชนเป็นแกนนำ“ล็อคเป้า”เฉพาะ“มาดามแพทองโพย”เพียงคนเดียวเท่านั้น หากจะเล่นกันแบบ“แฟร์เพลย์” พรรคเพื่อไทยก็ควรต้องยอมให้ สส.ในซีกฝ่ายค้านกล่าวพาดพิงถึงอดีตนักโทษเด็ดขาดชาย“ทักษิณ ชินวัตร”ได้
เพราะการที่จะอ้างว่า“ทักษิณ ชินวัตร”เจ้าของคอกเพื่อไทยเป็น“คนนอก” ก็เนื่องจากไม่ต้องการให้ฝ่ายค้านไปแตะ“นายใหญ่”ที่มีแผลเหวอะหวะเต็มตัว แต่โดยข้อเท็จจริงนั้น อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณผู้นี้คือ“นายกรัฐมนตรี”ตัวจริงของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้ชักใย“มาดามแพทองโพย”บุตรสาว และเป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบายของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
จะเห็นได้ว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ปลายเดือนที่แล้วนั้น จาก 6 ประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านสรุปว่า ไม่อาจไว้วางใจให้“มาดามแพทองโพย”บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไปนั้น มีถึง 2 ประเด็นที่พาดพิงถึงอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็น“สารตั้งต้น”อันทำให้“มาดามแพทองโพย”นายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ที่เป็นร่างทรงของบิดาไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่
ประเด็นแรก ที่เกี่ยวพันกับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ก็คือ “มาดามแพทองโพย” ในฐานะนายกรัฐมนตรีเห็นแก่ประโยชน์ของ บิดา ครอบครัว และพวกพ้องเป็นตัวตั้งอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม
ในประเด็นนี้ถ้าหากพรรคเพื่อไทยมีจิตสำนึกของความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำลวงโลกที่มักจะอ้างว่าเป็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และสาดโคลนป้ายสีฝ่ายตรงข้ามในสมัยเป็นฝ่ายค้าน ว่าเป็นเผด็จการและอนุรักษ์นิยม ก็ต้องเปิดโอกาสให้ สส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายอย่างถึงที่สุด
เพราะอย่างน้อยถ้าเป็นเรื่องไม่จริง ตัวนายกรัฐมนตรีก็ยังได้มีโอกาสชี้แจงให้ประชาชนคนไทยทั่วไปได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เกี่ยวกับการตรวจสอบและถ่วงดุล ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร
พรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายรัฐบาล ไม่ควรใช้“วิชามาร”ด้วยการลุกขึ้นประท้วง เพื่อปิดปากไม่ให้ฝ่ายค้านพูด ถ้าหาก สส.ฝ่ายค้านจำเป็นต้องกล่าวถึง“ทักษิณ ชินวัตร” และหากทำเช่นนั้น การประชุมก็คงจะสะดุดและวุ่นวายโกลาหลไม่จบสิ้น นึกภาพแล้วก็ไม่ต่างจากฝูงสุนัขกัดกันตามสามแยกบนท้องถนน ไม่ใช่การประชุมของ สส.ผู้ทรงเกียรติ ใน“สัปปายะสภาสถาน” อันหมายถึง“สภาที่มีแต่ความสงบร่มเย็นสบาย”
ประเด็นถัดมา “มาดามแพทองโพย”ปล่อยให้อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา“ชี้นำ-ชักใย”ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ
ประเด็นนี้ ประชาชนคนไทยทั่วไปก็มองเห็นและเข้าใจตรงกันกับญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งถ้าเปิดโอกาสให้ สส.ฝ่ายค้านได้อภิปราย ตัวนายกรัฐมนตรีก็จะมีโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนคนไทยเกิดความกระจ่างได้อีกเช่นกัน
ขณะเดียวกัน จากการประชุมพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ตามคำแถลงภายหลังการประชุมของนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เกี่ยวกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ“มาดามแพทองโพย”ในครั้งนี้ โดยเปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีดำริจะเป็นผู้ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นที่เป็นภาพรวมด้วย
ส่วนประเด็นที่ สส.พรรคพลังประชารัฐจะอภิปรายเป็นการเจาะลึกนั้น เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า มีไม่น้อยกว่า 4 ประเด็น อาทิ กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์, MOU 44, บ่อนกาสิโน และคดีป่วยทิพย์ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งยังมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ซึ่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน กล่าว่า มั่นใจว่าจะทำให้ “มาดามแพทองโพย”หวั่นไหวแน่นอน
เฉพาะประเด็นที่พรรคพลังประชารัฐจะหยิบยกขึ้นมาอภิปรายตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เปิดเผยนั้น เกี่ยวพันถึงอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ถึง 3 เรื่อง คือกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์, MOU 44 และคดีป่วยทิพย์ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
เรื่องแรก กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์, เกี่ยวพันและเกี่ยวเนื่องกับ“มาดามแพทองโพย”และ“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดาชัดเจน ดังนั้น เมื่อ สส.ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปราย ก็จะต้องกล่าวถึงบุคคลทั้งสอง เพราะที่ดินธรณีสงฆ์เนื้อที่กว่า 924 ไร่ผืนนี้ ตกมาอยู่ในมือ“ตระกูลชินวัตร”ตั้งแต่ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนนตรี และ“มาดามแพทองโพย”มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และร่วมเป็นกรรมการ“บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ”บนที่ดินผืนนี้ในเวลาต่อมา ก่อนจะโอนหุ้นไปให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นมารดาถือครอง หลังจากเป็นนายกรัฐมนตรี
เรื่อง “MOU 44”อันเนื่องมาจากเส้นเขตแดนทะเลบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ที่กัมพูชาประกาศในปี 2515 จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่อง“พื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน”ระหว่างไทยกับกัมพูชาก็เช่นกัน ซึ่งมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะไม่กล่าวถึง“ทักษิณ ชินวัตร” เพราะการเกิดขึ้นและมีอยู่ของเอ็มโอยูฉบับนี้ ได้มีการลงนามในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2544 อันเท่ากับเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่า“พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน”นี้มีปัญหาอยู่จริง และจะต้องมีการเจรจาตกลงกัน
สำคัญที่สุดก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้เปิดประเด็นจากการแสดงวิสัยทัศน์ในในงาน “Nation TV Dinner Talk”เมื่อค่ำวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ก่อนที่รัฐบาล“มาดามแพ”จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และได้มีขานรับเพื่อดำเนินการเปิดเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ในการนำเอาทรัพยากรปิโตรเลียมมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาทที่มีอยู่ใต้ทะเลขึ้นมาใช้ โดยแบ่งปันผลประโยชน์กันคนละครึ่ง“50 ต่อ 50” ระหว่างไทยกับกัมพูชา
สำหรับคดี“ป่วยทิพย์ชั้น 14” โรงพยาบาลตำรวจ คงไม่ต้องสาธยายรายละเอียดมากนัก เพราะแม้ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”จะเป็น“คนนอกสภาฯ” แต่ก็เกี่ยวโยงเต็มๆ ทั้งในเรื่องระบบนิติรัฐและหลักยุติธรรม ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมิอาจปฏิเสธได้ โดยเฉพาะตามมาตรา 53 ในหมวด 5 ของรัฐธรรนูญฉบับปี 2560 ที่ใช้ในปัจจุบัน บัญญัติไว้ว่า “รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตาม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด”
คดี“ป่วยทิพย์ชั้น 14” นี้ เกี่ยวโยง“มาดามแพทองโพย”ในประเด็นที่ ไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของ“ตนเอง บิดา และครอบครัว” และเกี่ยวพันโดยตรงกับ“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดา ที่เข้าข่าย“ชี้นำ-ชักใย”ให้บุตรสาวกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง อย่างน้อยประการหนึ่งก็เรื่อง“เวชระเบียน” และยังส่งผลให้บุตรสาวประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ
ฉะนั้น ถ้าหากจะเล่นกันแบบแบบ“แฟร์เพลย์” พรรคเพื่อไทยก็ควรต้องยอมเปิดโอกาสให้ สส.ในซีกฝ่ายค้านอภิปรายได้เต็มที่ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และที่สุดแล้วก็จะเป็นผลดีต่อ“มาดามแพทองโพย”ที่ได้รับการฟอกขาวให้สุกสกาวแวววาว-สมนามว่า“แพทองธาร” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี