องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล (Transparency International) ได้จัดดัชนีชี้วัดระดับความโปร่งใสปราศจากการคอร์รัปชั่น ประจำปี 2024 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ลำดับที่ 107 จาก 180 ประเทศ ได้คะแนน 34 จาก 100 ลดไป 1 คะแนนจากปีที่แล้ว (ดูรูปภาพ 1) โดยมี เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และสิงค์โปร์ อยู่ในลำดับที่ 1, 2 และ 3 ได้คะแนน 90, 88 และ 84 ตามลำดับ
รูปภาพ 1 คะแนนความโปร่งใสของไทย ในช่วงปี 2012-2024
ที่มา : Transparency International (https://www.transparency.org/en/cpi/2024/index/tha)
จะว่าไปแล้ว...ลำดับและคะแนนของประเทศไทยไม่ได้เหนือกว่าการคาดหมายแต่ประการใด เพียงแต่ว่าระหว่างที่ดูระดับความโปร่งใสของประเทศอื่นนั้น ผมได้เหลือบไปเห็นลำดับและคะแนนของประเทศกรีซที่อยู่ในลำดับที่ 59 และได้ 49 คะแนน ซึ่งแม้จะถือได้ว่าคะแนนยังสอบตกอยู่ แต่คะแนนความโปร่งใสที่มีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2012 (ดูรูปภาพ 2) ก็ทำให้ต้องกลับมามองประเทศตัวเองว่า นี้เป็นอีกหนึ่งดัชนีที่ชี้ว่าเราไม่ไปไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้นหรืออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน
ถ้ามองย้อนกลับเมื่อสักสิบกว่าปีก่อน ดัชนีชี้วัดความโปร่งใสปราศจากการคอร์รัปชั่น ประจำปี 2011 ของกรีซนั้นเท่ากับประเทศไทยที่ 34 จากคะแนนเต็ม 100 และอยู่ในลำดับที่ 80 เท่ากันจาก 182 ประเทศ
ในปีนั้น 2011 (๒๕๕๔) ขณะที่ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่ กรีซก็กำลังเผชิญกับปัญหาความล่มสลายทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้สาธารณะที่มีมากถึง 166% ของจีดีพี
รูปภาพ 2 คะแนนความโปร่งใสของกรีซ ในช่วงปี 2012-2024
ที่มา : Transparency International (https://www.transparency.org/en/cpi/2024/index/grc)
ความจริงแล้ว...กรีซเป็นประเทศที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับไทย เช่น มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ มีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีแหล่งท่องเที่ยวทั้งแบบธรรมชาติ โบราณสถานและโบราณวัตถุ ให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกิน สายสัมพันธ์ทางครอบครัว ระบบเครือญาติมีการคอร์รัปชั่นอย่างหนักในหมู่ข้าราชการและนักการเมือง กระทั่งพัฒนาการทางการเมืองสมัยใหม่ของกรีซก็คล้ายกับเส้นทางประชาธิปไตยของไทย เช่น การที่ถูกกองทัพแทรกแซงเป็นระยะๆ มีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารของทหารสลับกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ขณะที่ไทยมีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กรีซก็มีเหตุการณ์ 14 พฤศจิกายน 2516 อันเป็นวันที่นักศึกษากรีซได้ออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารเหมือนกับประเทศไทย ซึ่งผลของ 14 ต.ค.ของไทยและ 14 พ.ย.ของกรีซล้วนทำให้รัฐบาลเผด็จการทหารของทั้งสองประเทศหมดอำนาจลงในเวลานั้น
แต่คำถามที่น่าสนใจในเวลานั้น ก็คือ ทำไมประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่สองพันกว่าปี เป็นแหล่งกำเนิดปรัชญาและแนวความคิดแบบตะวันตก ต้นกำเนิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ชนชาติแรกที่ใช้การปกครองอันเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน จึงกลายเป็นประเทศที่หมดลายเยี่ยงนั้นไปได้
คำตอบที่ฟังดูธรรมดาแสนจะคุ้นหูสำหรับคนไทยแบบเราๆ ก็คือ “ระบบราชการที่ล้มเหลว กับ การคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงของข้าราชการและนักการเมือง”
ในตอนนั้น การที่กรีซถังแตก เศรษฐกิจล่มสลายก็เพราะความเละเทะของทั้งรัฐบาลและระบบราชการ อันเปรียบเสมือนผีเน่ากับโลงผุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ดังเช่น.......
ระบบข้าราชการที่ให้เงินเดือนข้าราชการสูงกว่าพนักงานเอกชนถึง 3 เท่า และถ้าอยากรู้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการกรีกเป็นอย่างไร ก็ลองนึกถึงนายกฯ ของไทยดู ทั้งนี้ข้าราชการชายกรีกเกษียณอายุที่ 55 หญิง 50 ปี ส่วนบรรดาข้าราชการการเมืองกรีก พอได้แหย่ขาหรือเถลือกหัวเข้ามาในการเมืองไม่ทันไร ก็สามารถปลูกบ้านราคาหลายสิบล้านดอลลาร์ในกรุงเอเธนส์และอีกสองสามหลังในเมืองตากอากาศอื่นๆ
ระบบโรงเรียนรัฐบาลกรีก คุณภาพการเรียนการสอนถูกจัดอยู่ในกลุ่มอันดับต่ำที่สุดในยุโรป แต่รัฐบาลก็ยังจ้างครูด้วยอัตราครูสี่คนต่อนักเรียนหนึ่งคน เท่ากับประเทศฟินแลนด์ที่อยู่ในอันดับหนึ่งเรื่องคุณภาพการสอน ทั้งนี้ผู้ปกครองของนักเรียนกรีกต้องจ้างครูสอนพิเศษต่างหากอีกหนึ่งคน สำหรับสอนลูกๆ ของตนที่บ้าน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าบุตรหลานตัวเองจะได้รับความรู้จริงๆ
ระบบโรงพยาบาลรัฐมีอัตราการใช้ยา เครื่องมือและอุปกรณ์แพทย์สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป เพราะเป็นเรื่องปกติที่พยาบาลและหมอจะกลับบ้านไปพร้อมกับสิ่งเหล่านี้เพื่อเอาไปใช้ที่บ้าน และคนไข้จะต้องจ่ายสินบน ค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับหมอ เพื่อแน่ใจว่าตนเองจะได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
ในขณะที่รัฐบาลกรีกมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างเละเทะ ไม่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ ความสามารถในการหารายได้ของรัฐบาลก็ไม่ได้แตกต่างกัน เช่น ในช่วงเวลานั้น การรถไฟแห่งชาติกรีกสามารถหารายได้เพียงแค่ปีละประมาณ 125 ล้านดอลลาร์ แต่มีรายจ่ายเงินเดือนพนักงานทั้งหมดประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ต่อปี และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกประมาณ 380 ล้านดอลลาร์ต่อปี อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญในการขาดรายได้ของรัฐบาลกรีกนั้นไม่ได้มาจากความบ่มิไก๊ของรัฐบาลฝ่ายเดียว แต่ก็เกิดจาก การโกงและ/หรือหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีอย่างมโหฬาร ของชาวกรีกอีกด้วย
วัฒนธรรมการโกงและ/หรือหลบเลี่ยงภาษีถือเป็นเรื่องปกติในสังคมกรีก ด้วยค่านิยมที่ว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” และไม่มีใครเคยถูกจับแบบเป็นเรื่องเป็นราว การดำเนินคดีฉ้อโกงภาษีของศาลกรีกบางคดีใช้เวลาถึง 15 ปี อัยการกรีกแทบไม่เคยสั่งฟ้องใครเรื่องนี้ เพราะตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมหกรรม“กีฬาแห่งชาติ”นี้ อันเป็นคำที่นักการเมืองกรีกขนานนาม...การหลบเลี่ยงภาษีในกรีซว่าคือ “National Sport”
มีคำกล่าวกันว่า “ความผิดเรื่องการโกงและ/หรือหลบเลี่ยงภาษีในสังคมกรีกนั้น เป็นความผิดประมาณว่า….การที่สุภาพบุรุษไม่ได้เปิดประตูให้กับสุภาพสตรี”
การหลบเลี่ยงภาษีวิธีหนึ่งอันเป็นที่นิยมก็คือ ชาวกรีกส่วนใหญ่จะเลือกประกอบอาชีพที่เป็นนายจ้างตัวเอง เพราะสามารถปรับแต่งบัญชีรายได้ของตัวเองเพื่อใช้ในการหลบเลี่ยงภาษี (ตรงนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้กรีกเป็นประเทศที่มีอัตราการประกอบอาชีพที่เป็นนายจ้างตัวเองสูงสุดในยุโรป) แพทย์ที่เป็นเจ้าของคลินิกจะรายงานรายได้ตัวเองปีละไม่เกิน 15,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราที่ยังไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐบาล สมาชิกรัฐสภากรีกทุกคนล้วนพูดความจริงไม่หมดเกี่ยวกับเรื่องการเสียภาษีของตัวเอง แม้กระทั่งโรงแรมระดับห้าดาวก็ชอบแกล้งทำเป็นลืมให้ใบเสร็จกับลูกค้า เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการค้าทุกธุรกรรมในกรีซ ถ้าทำได้จะใช้เงินสดจ่ายกันอย่างเดียว โดยไม่มีใบเสร็จ ชาวกรีกพึ่งเริ่มจะมาใช้บัตรเครดิตกัน เมื่อประมาณปลายทศวรรษที่ 1990 นี้เอง
ในตอนนั้น กรีซสิ้นลายถึงขนาดที่ถูกนักการเมืองเยอรมันปรามาสว่า ให้ขายเกาะบางแห่งหรือเอาโบราณสถานบางที่มาประมูลขาย เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ที่ก่อไว้ การที่นักการเมืองจากเมืองเบียร์พูดเช่นนี้ก็เพราะว่า นอกจากเงินช่วยเหลือที่กรีซได้จาก IMF แล้ว กรีซยังต้องพึ่งพาเงินจากสหภาพยุโรป (EU) ด้วย ซึ่ง 30% วงเงินช่วยเหลือตรงนี้มาจากเยอรมันในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ของ EU และการที่รัฐบาลเยอรมันจะจ่ายเงินตรงนี้ได้ ก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเยอรมันเสียก่อน และแน่นอนคนเยอรมันส่วนใหญ่ย่อมไม่เห็นด้วยกับการนำเอาเงินภาษีของพวกเขาไปช่วยเหลือกรีซอยู่แล้ว
จริงๆ แล้ว เนื้อร้าย(เรื่องการคอร์รัปชั่น)ก้อนนี้ฝังตัวอยู่ในสังคมกรีกมานานนับพันปีแล้ว สืบสาวไปได้ตั้งแต่สังคมการเมืองของเอเธนส์ ในยุคโสกราตีส เพลโต และอริสโตเติล ที่สังคมการเมืองของกรีกมักจะประกอบไปด้วย “กลุ่มครอบครัวการเมือง” (Political Families) หลายๆกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มก็อาศัยสายสัมพันธ์ดังกล่าวเกื้อกูลกันและกัน ภายหลังจากที่มีอำนาจและตำแหน่งในทางการเมือง
การอาศัยสายสัมพันธ์เกื้อกูลซึ่งกันและกันของกลุ่มครอบครัวการเมืองสมัยกรีกโบราณก็ไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มครอบครัวการเมืองไทยในปัจจุบันเท่าใดนัก ที่แต่ก่อนก็เป็นกลุ่มครอบครัวการเมืองจากที่ต่างๆ เช่น ราชครู สุพรรณบุรี สระแก้ว เชียงใหม่ เชียงราย บุรีรัมย์ ปากน้ำ โคราช ฯลฯ ปัจจุบันก็เป็นกลุ่มครอบครัวการเมืองที่มาจากภาคธุรกิจต่างๆ เช่น การสื่อสาร พลังงาน ก่อสร้าง ชิ้นส่วนรถยนต์ ค้าปลีก ฯลฯ โดยทุกวันนี้ กลุ่มครอบครัวการเมืองเหล่านี้ต่างเข้ามาร่วมกันสร้างมหกรรมสังคญาติในสังคมการเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ ถ้าอ้างอิงข้อมูลจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล (Transparency International) จะเห็นได้ว่าเนื้อร้ายหรือการคอร์รัปชั่นที่ฝังตัวอยู่ในสังคมกรีกมานาน เริ่มได้รับการเยียวยาบ้างแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะบทเรียนจากการร่วมกันเล่น “มหกรรมกีฬาแห่งชาติ” ของชาวกรีกจนทำให้สังคมเกือบล่มสลายเศรษฐกิจพังพินาศจนต้องเข้ารับความช่วยเหลือจาก IMF ระหว่างปี 2010-2018 ทำให้ในปี 2016 รัฐบาลกรีก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนา (OECD) และคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ร่วมกันประกาศแผนปฏิบัติการปราบปรามการคอร์รัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติ อันทำให้กรีซซึ่งเคยอยู่ในลำดับที่ 80 ด้วยคะแนน 34 เท่ากับไทย ในปี 2011 (๒๕๕๔) เลื่อนขึ้นมาอยู่ลำดับที่ 59 ด้วยคะแนน 49 ในปี 2024 (๒๕๖๗)ขณะที่ประเทศไทยตกลงไปอยู่ที่อันดับ 107 ด้วยคะแนน 34 เท่าเดิมกับเมื่อสิบสามปีที่ก่อน
ครับ ทำไมลำดับหรือคะแนนของเราไม่ขยับไปไหนเลย....ทุกคนก็คงมีคำตอบกันอยู่แล้ว
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี