จวบจนบัดนี้ สังคมไทยยังไม่รู้ว่าวันเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นในวันที่เท่าไร และจะใช้เวลาอภิปรายนานเท่าไร เพราะยังอยู่ในระหว่างการเล่นเกมต่อรองทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน
สังคมไทยรับรู้ไปแล้วว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีสมาชิกรวม 166 คน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี คือ แพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยสรุปญัตติที่ยื่นอภิปรายคือ เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการบริการราชการแผ่นดิน โดยมีข้อความระบุชัดเจนว่า เป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป
แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน บอกว่า เหตุที่ตั้งใจอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว โดยเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้ว พร้อมยืนยันว่าเนื้อหาสาระของการอภิปรายฯ จะครอบคลุมในทุกประเด็นปัญหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง และพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมย้ำว่าที่เลือกอภิปรายฯ นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะเห็นว่าต้นตอของปัญหาสำคัญของประเทศมาจากการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดล้มเหลวโดยนายกรัฐมนตรี
คนที่ติดตามการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดล่าสุดต้องทราบดีว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ และยังเป็นตัวปัญหาของการบริหารราชการแผ่นดินด้วย เพราะแพทองธารขาดคุณสมบัติ ไร้ความรู้ความสามารถ ขาดเจตจำนงที่จะแก้ปัญหาให้ประเทศ และที่สำคัญคือไม่มีความรับผิดชอบในตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารงานเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว ส่งผลให้ GDP ไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายสมาชิกอาเซียน และยังแต่งตั้งบุคคลไม่เหมาะสมให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะบุคคลที่ถูกเข้าใจโดยสาธารณะว่า เป็นคนกลุ่มที่เขาขอมา หรือส่งไปให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และที่สำคัญคือแพทองธารขาดภาวะผู้นำ ไม่สามารถบังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชาได้ แถมยังยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือตนเอง และที่มากกว่านั้นคือยังยินยอมให้ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชักนำ จูงใจ และเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน และยังยินยอมให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในการบริหารราชการแผ่นดินอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการอภิปรายฯ น่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะอภิปรายฯ กี่วัน
ล่าสุดมีข่าวปรากฏว่าวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งหนังสือถึงผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภาว่า ต้องตัดรายชื่อทักษิณ ชินวัตร ออกจากการอภิปราย โดยอ้างว่าเพราะทักษิณเป็นบุคคลภายนอกของรัฐบาล
เมื่อวันนอร์ให้เหตุผลเช่นนั้น ก็มีคำถามจากคนที่ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดว่า ทำไมจึงไม่อนุญาตให้อภิปรายพาดพิงถึงทักษิณ ทั้งๆ ที่ทักษิณเปิดตัวชัดเจนว่ามีบทบาททางการเมืองเหนือแพทองธาร และเหนือพรรคเพื่อไทย และยังแสดงให้เห็นว่ามีอิทธิพลทางการเมืองในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะการเรียกตัวแกนนำ
พรรคร่วมรัฐบาลไปพบได้อยู่เสมอๆ
มีคำถามว่าวันนอร์ไม่เห็นพฤติกรรมการเมืองต่างๆ ของทักษิณ กระนั้นหรือ หรือว่าวันนอร์จะบอกว่าทักษิณไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆ ของการเมืองในยุคนี้ ทั้งๆ ที่ทักษิณเปิดตัวชัดเจนว่ามีอิทธิพลการเมืองเหนือพรรคเพื่อไทยและเหนือแพทองธาร
ทั้งนี้ พริษฐ์ วัชรสินธุ จากพรรคประชาชน ได้ตั้งข้อสังเกตกับคำสั่งของวันนอร์ว่า หากพิจารณาเชิงอำนาจหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว พบว่าไม่มีข้อบังคับใดให้อำนาจประธานสภาฯ ที่จะพิจารณาเรื่องนี้ แต่ประธานสภาฯมีหน้าที่เพียงตรวจสอบว่าญัตติมีข้อบกพร่องหรือไม่ ไม่ใช่มีหน้าที่บอกว่าต้องอภิปรายหรือไม่อภิปรายใคร
หากจะอ้างถึงข้อบังคับในการอภิปรายฯ ในส่วนที่บังคับเรื่องการพูดถึงบุคคลภายนอก ก็ไม่มีข้อใดห้ามอภิปรายบุคคลภายนอกอย่างเด็ดขาดหรือโดยสิ้นเชิง แต่ทว่ามีเพียงการห้ามกล่าวถึงบุคคลใดโดยไม่จำเป็น แต่หากมีการกล่าวถึงคนภายนอกในการอภิปรายฯ แล้วทำให้เกิดความเสียหายกับคนภายนอก ผู้เสนอญัตติและผู้อภิปรายฯ ต้องรับผิดชอบในการกระทำให้เกิดความเสียหาย
ผู้เขียนเห็นด้วยกับพริษฐ์ในประเด็นที่ว่าพรรคประชาชนไม่จำเป็นต้องนำชื่อบุคคลภายนอกออกจากการอภิปรายฯ หากบุคคลภายนอกที่ถูกกล่าวถึงนั้นแสดงพฤติกรรมชัดเจนโจ่งแจ้งว่าจงใจแสดงให้สาธารณชนเห็นว่าตนเองมีอิทธิพลการเมืองเหนือพรรคการเมืองและเหนือตัวนายกรัฐมนตรี
สาธารณชนเห็นชัดแล้วว่าทักษิณจงใจแสดงตัวให้สังคมเห็นโจ่งแจ้งว่าเขาคือผู้ที่มีอิทธิพลเหนือแพทองธาร และเหนือรัฐมนตรีที่สังกัดพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นมาโดยตลอดว่าทักษิณคือผู้ที่สามารถชี้นำให้พรรคเพื่อไทยต้องนำสิ่งที่ตนเองพูดในสถานที่ต่างๆ ไปปฏิบัติ และยังมีอิทธิพลเหนือแพทองธารผู้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
วันนอร์ต้องยอมรับว่าทักษิณประกาศว่าเขาคือ สทร. ซึ่งคำว่า สทร. นั้นได้ออกมาจากปากของทักษิณโดยตรง แล้วก็ยังเห็นได้อีกว่าทักษิณประกาศคำว่า สทร. ด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเท่ากับจงใจบอกสังคมว่าเขาคือผู้ที่มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทยและแพทองธาร
ในเชิงการเมืองนั้น พฤติกรรมต่างๆ ของทักษิณที่ปรากฏต่อสาธารณชนคือสิ่งบ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือผู้มีอิทธิพลการเมืองเหนือรัฐมนตรีสังกัดพรรคเพื่อไทย และมีอำนาจสั่งการเหนือนายกรัฐมนตรี แม้จะพยายามกลบเกลื่อนว่าเขาคือผู้ที่เป็นแค่เพียงผู้รับจ้างของพรรคเพื่อให้ทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียง แต่ความจริงคือ ไม่เคยมีผู้ช่วยหาเสียงคนใดของพรรคเพื่อไทยมีอำนาจเหนือพรรคเพื่อไทยได้เหมือนที่ทักษิณแสดงออกอย่างชัดเจน
ทักษิณเคยประกาศว่า หัวหน้าพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2544 กับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปี 2567 คือ คนคนเดียวกัน แต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยผมยาวกว่า คำพูดดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าทักษิณคือคนที่มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย และเหนือแพทองธารอย่างมีนัยสำคัญ
คอการเมืองไทยทราบดีว่าทักษิณพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนิยมทางการเมืองมากขึ้นและมากขึ้น ด้วยความฝันที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถกลับมาเอาชนะการเลือกตั้ง สส. ในปี 2570 ได้ โดยฝันว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถกวาดคะแนน สส. ได้มากเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขัน และยังเคยฝันอีกว่าจะต้องได้ สส. เกิน 350 คน
คอการเมืองไทยยังรู้ดีด้วยว่า หากแพทองธารไม่ใช่ลูกสาวของทักษิณ ก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และทักษิณก็ไม่มีทางกลับมาเมืองไทยอย่างเด็ดขาด และคอการเมืองไทยยังรู้ดีด้วยว่า การที่แพทองธารได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นมันคือการวางเดิมพันทางการเมืองครั้งสำคัญสำหรับทักษิณ เพราะมันคือโอกาสทางการเมืองครั้งสุดท้ายสำหรับทักษิณ ทั้งๆ ที่ทักษิณรู้ดีว่าเกมการเมืองครั้งนี้เสี่ยงมากมายมหาศาล แต่ก็จำเป็นต้องเสี่ยง เพราะไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่หากทักษิณสามารถพลิกเกมการเมืองได้ เขาก็ฝันว่าเขาจะสามารถกลับมาครอบอำนาจรัฐไว้ในกำมือได้อีกครั้งก่อนจะหมดลมหายใจ
แน่นอนว่าวันนี้ทักษิณผลักดันให้แพทองธารได้กินตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นชินวัตรคนที่สามที่ได้กินตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย แต่คอการเมืองก็เห็นเสมอๆ ว่าเงาของทักษิณได้บังร่างของแพทองธารตลอดเวลา ซึ่งเรื่องนี้เป็นภาพลบสำหรับแพทองธารมากกว่า แต่ถึงแม้ แพทองธาร น่าจะรู้ดีแต่เธอก็ไม่มีทางเลือก เพราะเธอยินดีที่จะให้พ่อของเธอมีอำนาจรัฐอีกครั้ง แม้จะเป็นการยึดกุมอำนาจรัฐผ่านหุ่นกระบอกที่ชื่อแพทองธารก็ตาม
เรื่องอิทธิพลของทักษิณเหนือแพทองธารนั้น คนในพรรคเพื่อไทยก็รู้เรื่องนี้ดีมาก แม้กระทั่งณัฐวุฒิ ใสยเกื้อผู้จงรักภักดีต่อทักษิณ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีแพทองธารยังยอมรับว่า ทักษิณไม่ใช่เงา แต่คือตัวจริง เขาเป็นพ่อของแพทองธาร ที่คนทั้งโลกรู้เรื่องนี้ดีดังนั้นเมื่อคนมองไปที่แพทองธารจึงไม่ได้เห็นเงาของทักษิณ แต่เห็นตัวของทักษิณเลย
ดังนั้น เมื่อณัฐวุฒิยังยอมรับเช่นนี้ ก็จึงไม่ประหลาดใจที่มีเสียงกล่าวว่า ทักษิณพูด เพื่อไทยทำ หรือหนักไปกว่านั้นคือทักษิณสั่งให้เพื่อไทยทำ
เพราะฉะนั้น มันจึงมีคำถามตลอดเวลาว่า สรุปได้ใช่ไหมว่านายกรัฐมนตรีตัวจริงคือทักษิณ ส่วนแพทองธารเป็นแค่เพียงหุ่นที่ถูกทักษิณเชิด
ไม่ใช่แค่เพียงทักษิณต้องการแสดงออกให้สังคมเห็นชัดว่าเขาคือนายกรัฐมนตรีตัวจริงเท่านั้น แต่ทักษิณยังพยายามจะมีอิทธิพลเหนือพรรคร่วมรัฐบาลด้วย แต่เพียงแค่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็ไม่ยอมให้ทักษิณแสดงบทนายกรัฐมนตรีตัวจริง เพราะรู้ดีว่าทักษิณในวันนี้ไม่ใช่ทักษิณในยุคที่สามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้เบ็ดเสร็จ แต่ทักษิณวันนี้ คือ ชายชราที่ต้องการกลับมามีอำนาจรัฐอีกสักครั้งก่อนตาย
เมื่อทักษิณแสดงออกชัดเจนตลอดเวลาว่าเขาคือผู้มีอำนาจรัฐ แล้วทำไมและเหตุใดที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารในครั้งนี้ จึงจะไม่สามารถกล่าวถึงบทบาทและการกระทำของทักษิณได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี