มีหลายกรณี ที่ประชาชนพลเมืองอย่างผม รู้สึกว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่น่าไว้วางใจให้อยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป ด้วยความผิดพลาด ขาดความรู้ ขาดความรอบคอบ และขาดความน่าเคารพ หลายประการ ดังที่จะอภิปรายดังต่อไปนี้
1) วันที่ 16 ม.ค. 2568 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ เข้ายื่นหนังสือถึงนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยขอให้ดำเนินการทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงต่อ น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคประชาชน ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่รัฐสภา โดยแม้เป็นพื้นที่สาธารณะอันอาจจัดเขตสูบบุหรี่ได้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 แต่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้าในประเทศไทย ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ และห้ามขาย ห้ามบริการ ห้ามผลิตเพื่อขาย อีกทั้ง สส. อยู่ในฐานะเป็นผู้แทนประชาชน ที่สามารถมีอิทธิพลต่อข้าราชการประจำได้การที่ สส. ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งมีภาพหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างชัดเจน ย่อมเป็นการกระทำฝ่าฝืนข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ สส. และกรรมาธิการ จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อเด็กเยาวชนที่ติดตาม เรียนรู้ และเลียนแบบพฤติกรรมของ สส. ซึ่งควรเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในและนอกสภา
นอกจากนี้ ยังขอให้ติดตามเรื่องการขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ ความเหมาะสม และความมีส่วนได้เสียด้านผลประโยชน์ ของกลุ่มผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าในการเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมาย และมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย
วิธีคิดต่อเรื่องนี้ คือ 1.บุหรี่ไฟฟ้า เป็นของผิดกฎหมายในราชอาณาจักรไทย 2.“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ชื่อ น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ มีไว้ในความครอบครองและใช้อย่างเปิดเผยในอาคารรัฐสภา 3.สส.ธิษะณา อยู่ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ในสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางของการยกเลิกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย ปรับปรุงกฎหมาย เสนอกฎหมาย และผ่านกฎหมาย โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ
คำถาม คือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีความกระตือรือร้น ที่จะทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัดเจน และเป็นเยี่ยงอย่างของการเคารพกฎหมายบ้างเลยหรือครับ มีภาพปรากฏชัดเจน มีการร้องเรียนก็แล้ว ล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ท่านได้สั่งการอะไรไปบ้าง ขอให้ท่านประธาน หรือจะใช้งานท่านโฆษก นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ มาตอบเรื่องนี้สักหน่อยก็ดีนะครับ
2) กรณี คลิปการสนทนา “หลุด” ระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร กับ ประธาน ป.ป.ช. คนใหม่เพื่อเจรจาขอให้ยุติคำร้องให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. โดยนายวันมูหะมัดนอร์ เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่คลิปเสียงดังกล่าวจะหลุดออกมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนเองไม่รู้จักนายสุชาติเป็นการส่วนตัว แต่คนที่นัดหมายมา คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. โดยบอกว่า อยากขอนัดเพื่อเข้ามาอวยพรปีใหม่ และสมาคมชาวปักษ์ใต้
ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวย้ำว่า ไม่กังวลว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และไม่มีเจตนาที่จะกระทำการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ พร้อมยืนยันจุดยืนการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
วิเคราะห์ : ในเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยแถลงไว้ในฐานะที่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่รับรัฐธรรมนูญปี 2560 ก่อนทำประชามติว่า
“การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น จุดนี้ถูกหยิบยกมาว่าเป็นจุดเด่น (ของรัฐธรรมนูญ) และตนก็สนับสนุนบทบัญญัติหลายมาตรา เช่น การเพิ่มโทษ การเข้มงวด
กวดขันคุณสมบัติต้องห้ามของผู้เข้ามาสู่การเมือง แต่ต้องมองให้ครบวงจร เราจะเพิ่มโทษอย่างไรก็ตาม การจับการทุจริตต้องเริ่มจากบรรยากาศและสภาวะแวดล้อมที่เปิดให้ประชาชนหาข้อมูลตรวจสอบถ่วงดุลได้เต็มที่ไม่งั้นจะไม่รู้ว่ามีใครทุจริตไปโกงที่ไหนยังไง และที่สำคัญเปลี่ยนวิธีการการจัดการนักการเมืองโกง จากเดิม ที่มีทั้งถอดถอนและคดีอาญา ก็มายกเลิกการถอดถอนพึ่งเพียง ป.ป.ช. กับศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีในรัฐธรรมนูญเดิม
...ปัญหา คือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลับทำให้สององค์กรนี้อ่อนแอลงในการปราบปรามคอร์รัปชั่น กรณีของ ป.ป.ช. ต้องไม่ลืมว่า คนมาชี้เป็นชี้ตายได้ต้องอิสระและเที่ยงตรง ในอดีตช่องทางตรวจสอบ ป.ป.ช. ไม่ยากแต่ฉบับใหม่ต้องยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เป็นคนของรัฐบาล และมีดุลพินิจสิทธิ์ขาดว่าจะส่งศาลดำเนินการหรือไม่ ประเด็นนี้กระทบต่อความเป็นอิสระและความเข้มแข็งของฝ่ายตรวจสอบอย่างยิ่ง เพราะเปิดช่องทางการต่อรอง ทำให้ฝ่ายตรวจสอบไม่มีช่องทางทำอะไรได้”
ด้วยหลักการนี้เอง จึงต้องตั้งคำถามว่า การที่ประธานวันนอร์ พบกับท่านสุชาติ และพูดคุยในเรื่องที่พัวพันกับการตรวจสอบด้วย เป็นสิ่งที่เหมาะสมไหม มีการต่อรองอะไรกันไหม
3) กรณีต้องให้สภาลงมติ ส่งตัว สส.ไชยามพวานมั่นเพียรจิตต์ ให้ตำรวจ ประธานวันนอร์ก็ตัดตอนกระบวนการ ขณะที่ตำรวจและ สส. ทำผิดขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ
สส. ไชยามพวาน ถูกตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ขอศาลออกหมายจับ คดีข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน, ศาลอนุมัติหมายจับ แต่ ไชยามพวานเป็น สส. และอยู่ระหว่างสมัยประชุม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความคุ้มกันของ สส. และ สว. ในมาตรา 125 โดยบัญญัติว่า “มาตรา 125 ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวน ในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการจับในขณะกระทำความผิด”
หนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามโดย ผบ.ตร. ขอตัวนายไชยามพวานไปดำเนินคดี
นายไชยามพวานไปพบกับตำรวจเอง ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ตำรวจทำการสอบปากคำนายไชยามพวาน (ทั้งๆ ที่สภายังไม่มีการอนุญาต) ถือเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ และกระทำต่อ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่นายวันนอร์เป็น “ประธาน” จากนั้นตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ส่งหนังสือถึงประธานสภาฯ
ประธานสภาฯ แทนที่จะใช้หลักการว่า ตำรวจทำผิดขั้นตอนในรัฐธรรมนูญ อย่างไรเสีย ก็ต้องให้สภามีมติเสียก่อน ว่าจะส่งตัวนายไชยามพวาน ให้ตำรวจหรือไม่ ประธานวันนอร์กลับไปยึดเอา ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 (การให้ความคุ้มกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุม) ข้อ 187
...ในกรณีมีเรื่องที่สภาจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการจับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกไปทำการสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาในระหว่างสมัยประชุมตามมาตรา 125 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ ให้ประธานสภาบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วน
การขออนุญาตตามวรรคหนึ่ง หากประธานสภาเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ประธานสภาอาจสั่งให้นำออกจากระเบียบวาระการประชุมได้ แล้วแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
วิเคราะห์ : ผมคิดว่า ดุลพินิจของประธานสภา มีปัญหา ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ไม่เคารพสิทธิของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะได้อภิปรายและลงมติในเรื่องนี้ จึง
“ตัดตอน” ด้วยการถอนเรื่องนี้ออกจากวาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
4) และกรณีล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่าวันที่ 7 มีนาคม 2568 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เรื่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า
ตามที่ท่านกับคณะได้เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 151
ของรัฐธรรมนูญ นั้น ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าการระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหา ญัตติอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย
เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ จึงขอให้ท่าน แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว โดยนำรายชื่อบุคคลภายนอกออกจากเนื้อหาญัตติ ตามข้อบังคับการประชุม สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ
วิเคราะห์ : เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของประธานสภาฯ ที่ชื่อ วันมูหะมัดนอร์ มะทา เพราะข้อบังคับการประชุมสภา ข้อ 176 ระบุว่า เมื่อประธานสภาได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่อง ให้ประธานสภาแจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ เมื่อประธานสภาได้ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้ว ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุม เป็นเรื่องด่วนและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ
เรื่องตลกที่ขำไม่ออก คือ ในหนังสือที่ส่งถึงผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร มีข้อความตอนหนึ่งว่า“อ้างถึง หนังสือของท่านกับคณะ ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568”และหากค้นข่าวดู ก็จะพบว่า ในวันดังกล่าว ประธานวันนอร์ เป็นผู้รับหนังสือขอเปิดอภิปรายฯ ดังกล่าวด้วยตนเอง นับเลขอย่างไร หนังสือที่แจ้งถึงผู้นำฝ่ายค้านลงวันที่ 7 มีนาคม 2568 ก็ “เกิน 7 วัน” ไปแล้ว พลาดเรื่องง่ายๆ ที่ดูโง่ๆ แบบนี้กันได้อย่างไรครับ
5) ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าในท่อนหนึ่งญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ที่ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า นายกรัฐมนตรีสมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองด เว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดา เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ
6) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า “ต้องยืนยันตามข้อเท็จจริง การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ก็มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกอยู่แล้ว ข้อบังคับก็เขียนไว้ชัดเจนว่าการที่มีการพูดพาดพิงถึงคนนอก ที่ไม่สามารถชี้แจงในสภาได้ และทำให้เกิดความเสียหาย อย่างไร สมาชิกคนที่เป็นผู้อภิปรายจะต้องเป็นคนรับผิดชอบเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ ตนเชื่อว่าคนไทยทุกคนเห็นข้อเท็จจริง ว่าการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันนายทักษิณเอง ก็มีความเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
“เพราะฉะนั้นเราเองคิดว่าญัตติที่ยื่นไปสะท้อนตามข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่ทางประธานเองหรือรัฐบาลเอง จะต้องมาเซ็นเซอร์ฝ่ายค้านในเรื่องนี้ สำหรับผมเอง ถ้าอยากให้การอภิปรายไว้วางใจราบรื่นและเราสามารถสะท้อนตามข้อเท็จจริงได้ ประชาชนเห็นการอภิปรายที่ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าพูดพาดพิงชื่อคนใดแล้วจะโดนประท้วงหรือเปล่า ก็ให้มันอยู่ในญัตติ ทุกคนจะได้ติดตามการอภิปรายได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปพูดชื่ออ้อมค้อม” นายณัฐพงษ์ กล่าว
สรุป : ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดที่ว่ามา เรายัง“ไว้วางใจ” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ให้เป็นประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรอยู่ได้ไหมครับ?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี