การพนัน ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ติดอยู่กับนิสัยของคนไทยจำนวนไม่น้อย และน่าจะถ่ายทอดจากยุคสู่ยุคมานานพอสมควรแล้ว เป็นเรื่องที่มีขึ้นและมีลงคือเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงในแต่ละยุคสมัยมาโดยตลอด สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ และหลักทางศาสนาที่กล่าวไว้ว่า เกิดขึ้นคงอยู่ และดับไป
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า การพนันนั้นเริ่มเข้ามาสู่ราชอาณาจักรไทย และแพร่หลายตั้งแต่ต้นสมัยอยุธยา โดยน่าจะมาจากชาวจีนหรือชาวอินเดียที่เข้ามาทำการค้าขายและเผยแพร่ศาสนา ซึ่งบางคนเชื่อว่าอาจจะเข้ามาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ที่เชื่อว่าการพนันเริ่มได้รับความนิยมในต้นสมัยอยุธยานั้น ก็ด้วยปรากฏหลักฐานอยู่ในกฎหมายลักษณะพยาน ซึ่งบัญญัติไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอยุธยา มีความว่า “ห้ามมิให้ฟังคำคนเล่นบ่อนเป็นพยาน เว้นแต่คู่ความยินยอม” ที่แสดงให้เห็นว่ามีการพนันเกิดขึ้นแล้ว และผู้ที่เล่นการพนันเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ
ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ก็มีการกล่าวไว้ในพระธรรมนูญว่า“พระยาราชภักดี มีหน้าที่ออกตราปักษาวายุภักษ์ กำกับเจ้าจำนวนตั้งนายอากรบ่อนเบี้ย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนบ่อนน่าจะมีมากขึ้นจนต้องมีการควบคุม
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในหมวดพระราชกำหนดเก่าว่า มีผู้ยื่นเรื่องราวกราบบังคมทูลขอตั้งบ่อนเบี้ยที่เมืองราชบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ โดยยอมเสียเงินประมูลเป็นจำนวนไม่น้อย แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงพระพิโรธ ด้วยเห็นว่าพื้นที่เหล่านั้นมีสวน ซึ่งสามารถสร้างรายได้เป็นอากรเข้าพระคลังมากอยู่แล้ว และมีกฎรับสั่งห้ามอยู่มิให้ตั้งบ่อนเบี้ย การขอตั้งจึงผิดอย่างผิดธรรมเนียมแต่โบราณกาล จะทำให้ราษฎรเดือดร้อน จึงให้เอาตัวผู้ถวายเรื่องลงพระราชอาญา และห้ามมิให้รับเรื่องเช่นนี้ขึ้นทูลเกล้าถวายอีกต่อไป
ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โรงบ่อนเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนมาก และ มีชาวไทยที่ติดการพนันลักลอบเข้าไปเล่นเช่นกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีชาวจีนตั้งบ่อนเบี้ยในย่านสำเพ็งชื่อกงสีล้ง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการตั้งบ่อนไทยขึ้นและเล่นด้วยเงินสด ในขณะที่บ่อนจีนนั้นยังเล่นเป็นคะแนนและใช้คืนกันด้วยทรัพย์ จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีการรวมบ่อนไทยและจีนอยู่ด้วยกัน
ถึงแม้การพนันและเปิดบ่อนจะทำให้รัฐมีรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย ที่นำมาใช้จ่ายในราชการแผ่นดิน แต่กลวิธีที่นายบ่อนดึงคนเข้าบ่อนก็ไม่ตรงไปตรงมา เช่น ให้เงินแก่นักพนันที่เล่นเสียไปทดลองเล่นต่อไปเรื่อยๆ เกิดปัญหามากมายทำให้ราษฎรติดพนันเป็นจำนวนไม่น้อย เกิดคดีฟ้องร้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ พระองค์ไม่พึงประสงค์ จนในที่สุดจึงออกประกาศห้ามการทดลองเงินแบบนี้ รวมทั้งวิธีการเล่น“ซูเอี๋ย” ที่นักพนันผู้เล่นได้และเสียตกลงกันจะไม่เอาเงินเต็มจำนวน
การพนันที่เป็นที่นิยมในยุคนั้นมีหลายอย่างอาทิ บ่อนชนไก่ ชนนก ปลากัด หมากรุก ไพ่จีนไพ่ไทย แข่งเรือ ซึ่งถึงแม้จะสร้างรายได้จากอากรบ่อนเบี้ยให้แผ่นดินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมาอย่างมากมายเช่นกัน
การพนันที่เป็นที่นิยมในบ่อนมากที่สุดในช่วงเวลานั้นคือถั่วโป ซึ่งเดิมใช้เบี้ยหรือเงินพดด้วง แต่เนื่องจากมีลักษณะกลมกลิ้งหายได้ง่ายไม่สะดวกแก่การรับกินรับใช้ จึงมีการจัดทำ“ปี้”ขึ้นมาใช้แทน โดยคำว่า ปี้ น่าจะมาจากภาษาแต้จิ๋วคำว่าปี๋ ที่แปลว่า เงินตรา
ปี้นั้นจัดทำจากกระเบื้อง มีลักษณะเป็นแผ่นกลม มีความหนาแต่ไม่มากนัก โดยจะมีหลายราคา โดยนักพนันจะนำเงินสดไปแทง หากแทงถูกก็ได้ปี้มาแล้วนำไปขึ้นเงินในภายหลัง หรือนักพนันจะแลกปี้ก่อนแล้วนำไปแทงเลยก็ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปี้ถูกนำมาใช้แทนเงินตราในการซื้อขายสินค้าทั่วไป ปี้ที่ถูกนำมาใช้นั้นบางครั้งมีการยกเลิกโดยนายบ่อน โดยประกาศให้ผู้ที่มีปี้อยู่เอามาแลกคืนเป็นเงินได้ภายใน ๑๕ วัน หลังจากนั้นจะไม่รับคืน ทำให้มีราษฎรที่ไม่รู้ตัวขาดทุนกันทั่วหน้าไปไม่น้อย
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ปี้มีรูปแบบต่างๆ มากมาย และพ่อค้าหรือนายบ่อนก็หาช่องทางทำกำไรจากปี้เหล่านี้มากขึ้น ทำให้ราษฎรเดือดร้อน จึงเริ่มมีการผลิตเหรียญทองแดงมาใช้ในสมัยของพระองค์ แล้วประกาศยกเลิกใช้ปี้ทั้งในและนอกโรงบ่อนตั้งแต่นั้น โดยให้ราษฎรที่มีปี้ติดมืออยู่ นำมาแลกเป็นเงินโดยเร็ว โดยออกประกาศล่วงหน้าประมาณ ๓ เดือน หลังจากนั้นหากมีการซื้อขายปี้ จะถือว่าเป็นการกระทำผิดและจะถูกลงโทษ
รัชกาลที่ ๕ ทรงพิจารณาเห็นว่า การมีบ่อนการพนันจำนวนมาก ถึงแม้จะทำให้มีเงินเข้าคลัง แต่ก็มีคนหมดเนื้อหมดตัวกันมากมาย ได้ไม่คุ้มเสีย จึงเริ่มให้ มีการลดจำนวนบ่อนตามที่ต่างๆ จนในที่สุดมีการเลิกบ่อนเบี้ยในสมัยรัชกาลที่ ๖ และในสมัยรัชกาลที่ ๗มีการออกพระราชบัญญัติควบคุมการเล่นการพนัน
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาที่ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ให้มีบ่อนการพนันโดยรัฐจัดขึ้นเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ มอบให้กระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่ในการดูแล
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จอมพลป.พิบูลสงคราม ได้ให้มีการเปิดสถานกาสิโน ซึ่งก็คือบ่อนนั่นเอง ๕ แห่ง ที่หัวหิน ลพบุรี พิษณุโลก หนองคาย และเบตง และเพิ่มเติมต่อมาในอีกหลายจังหวัด จนถึง พ.ศ ๒๔๘๘ จึงมีการออกพระราชบัญญัติ จัดตั้งสถานกาสิโนขึ้นเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์
ผลจากการเปิดสถานกาสิโนในครั้งนั้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมอย่างรุนแรง ราษฎรเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว บางรายถึงกับฆ่าตัวตาย เนื่องจากเป็นหนี้สินจำนวนมาก โจรผู้ร้ายชุกชุม เกิดคดีความปล้นชิงทรัพย์เพิ่มขึ้น ในที่สุดพ.ร.บ.การพนันฉบับดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไปจวบจนถึงปัจจุบัน
น่าจะเป็นเรื่องที่ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะมีการเสนอกฎหมายเพื่อให้มีการจัดตั้ง Entertainment Complex (สถานบันเทิงครบวงจร) ซึ่งมีบ่อนการพนันหรือกาสิโนอยู่ด้วย โดยมีความพยายามเร่งรัดเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เรื่องนี้ผ่านที่ประชุม ครม.เข้าสู่การประชุมสภาฯโดยเร็วที่สุด โดยอ้างว่าเพื่อดึงเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ ทั้งจากการหาความเพลิดเพลินและการเล่นพนันในสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งถึงแม้จะใช้พื้นที่เพียง ๑๐% ของสถานบันเทิง ก็ยังจะมีขนาดใหญ่มาก เพราะหากเทียบกับพื้นที่ของศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่ซึ่งหากมีบ่อนด้วย ก็จะไม่ต่างจากศูนย์บันเทิงครบวงจรที่อ้างถึง ศูนย์การค้าเหล่านั้นมีพื้นที่นับล้านตารางเมตร ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่แถวปทุมวันหรือที่อยู่แถวริมแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นที่นิยมทั้งของคนไทยและต่างชาติอยู่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านวุฒิสภาไปได้ กรุงเทพฯจะมีกาสิโนที่มีขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลอย่างแน่นอน
กระแสคัดค้านของประชาชนและกลุ่มต่างๆเริ่มมีมากขึ้น เพราะไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐจะสร้างรายได้ด้วยวิธีนี้ ซึ่งน่าจะมีคนของรัฐบาลหรือผู้เกี่ยวข้องได้ผลประโยชน์ทางอ้อมอย่างมหาศาล ตั้งแต่ก่อนการเริ่มต้นดำเนินการ จนกระทั่งถึงเมื่อมีการเปิดศูนย์เหล่านี้แล้ว อันอาจจะเรียกว่าเป็นการทุจริตทางอ้อมก็คงไม่ผิด
ถึงแม้จะมีการออกกฎกติกาของผู้ที่จะเข้าไปเล่น แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาสังคมจะตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะหากกติกานั้นหย่อนยาน เพียงแค่ผู้เสียภาษีย้อนหลัง ๓ ปีติดต่อกันก็สามารถเข้าไปเล่นได้ ก็เชื่อได้เลยว่าจะมีคนที่ไม่ได้รวยจริงหมดตัวจากการพนันอย่างแน่นอน คดีความไม่ว่าจะจากการยักยอกทรัพย์ ฉกชิงวิ่งราว ทำร้ายร่างกายกันจนถึงเสียชีวิต ครอบครัวแตกแยก และที่จะติดตามมาแน่ๆ คือ การแพร่ระบาดของยาเสพติดจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกินกว่าที่จะควบคุมได้
อย่าให้การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ของคณะรัฐมนตรี ก่อนการเริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นเพียงแค่พิธีกรรม รัฐบาลจะต้องทำแต่สิ่งที่ดีงามและเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่บริหารโดยคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง โดยเฉพาะในเรื่องที่จะทำให้เกิดปัญหาทางสังคม อันอาจจะนำไปสู่การล่มสลายของสังคมโดยรวม เกิดผลกระทบและความเสียหายต่ออนาคตของชาติอย่างมหาศาล
รัฐบาลชุดปัจจุบันได้บริหารบ้านเมืองมาเป็นระยะเวลาประมาณ ๖ เดือนแล้ว ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันที่เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง และหากยังจะดึงดันที่จะทำเรื่องกาสิโน ก็เชื่อว่าเหล่าคนไทยที่รักชาติคงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี