รองประธานศาลปกครองสูงสุด นายประวิตร บุญเทียม เปิดเผยว่า จบปีนี้แน่นอน สำหรับคดีเพิกถอนคำสั่งให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้สินไหมทดแทนความเสียหายจำนำข้าว 35,000 ล้านบาท
ยิ่งลักษณ์จะต้องชดใช้กี่บาท หรือไม่ต้องเลย? อีกไม่กี่เดือนก็คงได้ข้อยุติ
เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนได้-เสียของประเทศชาติส่วนรวม มูลค่าหลายแสนล้านบาท
1.โครงการจำนำข้าว ยุครัฐบาลทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เกิดการทุจริตมโหฬาร เสียหายมหาศาล ขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น
ปัจจุบัน รัฐยังติดค้างหนี้ ธ.ก.ส. จากการทำโครงการจำนำข้าว เหลืออยู่กว่า 2 แสนล้านบาท!
(หลังทยอยชดใช้ไปแล้วหลายแสนล้านบาท ในยุครัฐบาลก่อนหน้านั้น)
จึงน่าสนใจว่า รัฐจะไล่เบี้ย ติดตามเงินค่าเสียหายกลับคืนมาจากผู้เกี่ยวข้องที่ก่อให้เกิดความเสียหายในโครงการจำนำข้าว กี่บาท ?
2.อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ จะต้องจ่ายกี่บาท?
อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ถูกออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 35,717 ล้านบาท
จากการคำนวณพบว่า โครงการจำนำข้าวมีผลขาดทุนกว่า 5.3 แสนล้านบาท (อนุปิดบัญชี 30 ก.ย. 2557)
แต่เนื่องจากเป็นการขาดทุนที่ทำให้ชาวนาขายข้าวได้แพงกว่าราคาตลาดส่วนหนึ่ง และเมื่อหักลบส่วนที่ชาวนาได้ประโยชน์ออกไปแล้ว ก็พบว่า มีความเสียหายอยู่กว่า 1.7 แสนล้านบาท (คิดเฉพาะโครงการ 55/56 และ 56/57 )
สุดท้าย คณะกรรมการวินิจฉัยให้อดีตนายกฯรับผิดชอบ 35,000 ล้านบาท (20% ของมูลค่าความเสียหาย)
นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ยินยอมจ่าย จึงฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว
ศาลปกครองกลาง วินิจฉัยให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นฝ่ายชนะคดี แต่คดียังไม่ถึงที่สุด
ขณะนี้ คดีอยู่ในชั้นศาลปกครองสูงสุด ดังที่ท่านรองประธานศาลปกครองสูงสุด ระบุล่าสุดว่า “...คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด โดยคดีนี้ก็มีการอุทธรณ์กันมานานพอสมควร ตั้งแต่ปี 2564 ฉะนั้น เรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว ...เชื่อว่าจะไม่นาน และก็คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพราะคดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว”
3.นักการเมือง ข้าราชการ ก๊วนข้าวจีทูจีจะต้องจ่ายกี่บาท?
การทุจริตระบายข้าวจีทูจีเก๊ ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” คือ ที่สุดแห่งโคตรโกงในการเมืองยุคใหม่
อาศัยอำนาจรัฐ ทำเป็นขบวนการ หลอกลวงคนที่เห็นใจชาวนา ตบตาว่าต้องการช่วยชาวนา ออกแบบวิธีการแยบยล รับซื้อข้าวจากชาวนาราคาแพงกว่าตลาด เมื่อได้ข้าวไปก็ขายราคาถูกๆ ต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่ต้องประมูล อ้างซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐเก๊ๆ ไม่ต้องส่งออกไปให้รัฐบาลจีน มอบอำนาจเอกชนไปรับข้าวหน้าโกดังเลย จ่ายเงินเป็นแคชเชียร์เช็ค ไม่มีการเปิดแอลซี เอื้อให้นักธุรกิจพวกพ้องเข้าไปโกงกินกันมโหฬาร ฯลฯ
กระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งที่ 457 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2559 สั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท
โดยกำหนดให้นายบุญทรง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 1,770 ล้านบาท, นายภูมิ 2,300 ล้านบาท,หมอโด่ง(หนีคุก) 4 พันล้านบาท, นายมนัส, นายอัฐฐิติพงศ์, นายทิฆัมพร รายละ 4,011 ล้านบาท ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ (รวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท)
บุคคลเหล่านี้ปฏิเสธ ยืนยันไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหาย และได้ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2564 ศาลปกครองกลาง อ่านคำพิพากษา ยกคำร้อง
ศาลปกครองกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 มีพฤติการณ์จงใจกระทำการทุจริต ร่วมกันกับข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และภาคเอกชน รวมถึงมีลักษณะการแบ่งงานกันทำ และจงใจทำให้เกิดความเสียหายในโครงการระบายข้าวจีทูจี ดังนั้น จึงเป็นการละเมิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ และจงใจทำให้รัฐเสียหาย ไม่เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่อาจนำข้าวดังกล่าวมาขายราคามิตรภาพได้หรือต่ำกว่าราคาตลาดได้ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงการชำระเงินเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร และแคชเชียร์เช็ค ไม่สอดคล้องกับการขายข้าวแบบจีทูจี รวมถึงมีการส่งมอบหน้าคลังสินค้า ทำให้มีการนำข้าวในคลังมาเวียนขายภายในประเทศ การกระทำดังกล่าว จึงทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมและมีการแก้ไขสัญญาซื้อขายด้วย ฯลฯ
สุดท้าย ศาลชี้ขาดให้ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งดังกล่าว คือ นายมนัส สร้อยพลอย ชดใช้ 4,011ล้านบาท, นายทิฆัมพร นาทวรทัต ชดใช้ 4,011 ล้านบาท,นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ ชดใช้ 2,694 ล้านบาท, นายภูมิ สาระผล ชดใช้ 2,242 ล้านบาท และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ชดใช้ 1,768 ล้านบาท
ขณะนี้ รอคำพิพากษาชี้ขาดในชั้นศาลปกครองสูงสุดเช่นกัน
คดีค่าสินไหมทดแทนความเสียหายข้าวจีทูจีเก๊นี้ เป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญา คือ โทษจำคุก
ในส่วนโทษจำคุก เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีข้าวจีทูจีเก๊ที่มีการทำสัญญาลอตแรก 4 ฉบับ เกือบทั้งหมด ติดคุก ได้ลดหย่อนผ่อนโทษ และได้ออกมาเกือบหมดแล้ว
4.เอกชนค้าข้าวจีทูจีเก๊ ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
ในคำพิพากษาคดีข้าวจีทูจีเก๊ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นอกจากพิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว ยังพิพากษาให้ผู้เกี่ยวข้องต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐด้วย รวมๆ หลายหมื่นล้านบาท
โดยระบุให้กลุ่มพ่อค้าข้าวเอกชนผู้กระทำผิด ต้องร่วมชดใช้ค่าเสียหายด้วย
ถามว่า กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อมาชดใช้คืนแผ่นดิน ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว?
มีผู้ใดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่?
5.ค่าสินไหมทดแทน และค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ข้างต้นนี้ เป็นคนละส่วนกับโทษจำคุก
ไม่ว่าใครจะติดคุกแล้วพ้นโทษออกมาแล้ว หรือใครยังหนีโทษจำคุกอยู่ก็ตาม หน่วยงานรัฐก็จะต้องติดตามบังคับเพื่อเรียกเอาเงินค่าสินไหมและค่าเสียหาย นำมาคืนแผ่นดิน ตามคำพิพากษาของศาล
กรณีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ คงต้องรอศาลปกครองสูงสุด
แต่กรณีข้าวจีทูจีเก๊ ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรอัปเดตให้สังคมได้รับทราบ ว่าจนถึงวันนี้ ได้ติดตามยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อมาชดใช้คืนแผ่นดิน ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว?
อย่าลืมว่า รัฐยังมีภาระต้องใช้หนี้คืน ธ.ก.ส. จากโครงการจำนำข้าว กว่ว 2 แสนล้านบาท ไม่ควรจะเอาเงินภาษีจากคนทั้งประเทศมาชดใช้หนี้อย่างเดียว ควรต้องเอาจริงกับกรณีที่เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบของข้าราชการและนักการเมืองเช่นนี้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป
6.สุดท้าย พึงตระหนักว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำอม.22/2558 ลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ์การรับจำนำ, การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์, ข้าวสูญหาย, การออกใบประทวนให้ชาวนาอันเป็นเท็จ, การใช้เอกสารปลอม, การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา, ข้าวสูญหายจากโกดัง, ข้าวเสื่อมสภาพ, ข้าวเน่าและข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีรายงานจากการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศรวม 105 คดี แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธาน กขช.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ อีกทั้งเมื่อพบความเสียหายดังกล่าวในขณะดำเนินโครงการก็ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันความเสียหายแล้ว กรณีความเสียหายในส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ
แต่ในกรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ในสัญญา 4 ฉบับ พบว่า มีการแก้ไขสัญญาในยุคที่มีนายภูมิ สาระผลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายบุญทรงเตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าวและยังทำในรูปแบบซื้อขายหน้าคลังสินค้า ซึ่งไม่ใช่การซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และยังใช้สกุลเงินบาทในการซื้อขาย ซึ่งเป็นพิรุธ ประกอบกับไม่พบว่ามีการส่งข้าวไปยังจีน แต่ในสัญญากลับระบุการซื้อขายข้าวนับล้านตัน ทั้งที่มีการนำข้าวออกไม่เท่ากับที่สัญญาระบุไว้ และเป็นการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ทำให้เอกชนได้รับประโยชน์จากส่วนต่างในราคากว่า 3 พันบาทต่อตัน โดยยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทเอกชนในกลุ่มของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ที่มีความสนิทกับนายทักษิณ พี่ชายของจำเลย ก็ได้รับประโยชน์จากพฤติการณ์ที่สมอ้างว่าสัญญาระบายข้าวเป็นแบบรัฐต่อรัฐ
“...สําหรับความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนระบายข้าว โดยการแอบอ้างทําสัญญาขายแบบรัฐต่อรัฐข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จําเลยรับรู้จากการแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตั้งกระทู้ถามสด กระทู้ทั่วไป การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของฝ่ายข้าราชการการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน ยิ่งกว่านี้ ก่อนเริ่มโครงการรับจํานําข้าว ทั้งสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สํานักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การนําเอานโยบายรับจํานําข้าวไปดําเนินการปฏิบัตินั้นจะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ ให้จําเลยทราบเป็นระยะๆ แต่จําเลยกลับไม่ได้ติดตามกํากับดูแล อย่างใกล้ชิด
...ในส่วนการระบายข้าว ที่แอบอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จําเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อนก็ย่อมกระทําได้ตามอํานาจหน้าที่ แต่จําเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธาน กขช. ซึ่งมีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกํากับดูแล การปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้วทั้งมีอํานาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกํากับดูแล การระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอน การระบายข้าว
แต่จําเลยกลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดยแจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ นายบุญทรง กับพวกแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจํานําข้าว โดยการแอบอ้างนําบริษัท GSSG และบริษัท Hainan grain เข้ามาทําสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ํากว่า ท้องตลาดตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่าง จากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย ๔ ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศและเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง
ถือได้ว่าเป็นการกระทําทุจริตต่อหน้าที่ในความหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔ ซึ่งบัญญัติให้ความหมายคําว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” คือ การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือผู้อื่น ดังนั้น การกระทําของจําเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑…”
สังคมไทยควรเรียนรู้ สรุปบทเรียน และยกให้เป็นอุทาหรณ์ อย่าให้มีโครงการทุจริตโกงกิน สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติเช่นนี้อีกเป็นอันขาด
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี