ความมั่นคงและเศรษฐกิจชาติ กำลังพินาศย่อยยับ
ภายใต้การบริหารของนายกฯคุณหนู ลูกทักษิณและบริวาร
1. ขณะนี้ ตามชายแดนไทยเกือบทุกด้าน เผชิญปัญหาความมั่นคง
ไทย-เมียนมา มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการสู้รบระหว่างรัฐบาลเมียนมากับกองกำลังตามชายแดน
ไทย-กัมพูชา กำลังมีความตึงเครียดบริเวณใกล้ปราสาทตาเมือนธม ขณะเดียวกันก็มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปอยเปตจำนวนมาก
รัฐมนตรีกลาโหมบอกให้ทหารไทยสงบนิ่ง และแสดงท่าทีอาจจะปรับลดงบจัดซื้อเรือฟริเกต
ตกลงว่า ประเทศไทยยุคนี้ ต้องยอมศิโรราบให้การยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา อย่างนั้นหรือ?
ด้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ เผชิญกับการโจมตีครั้งใหญ่จากโจรขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่อำเภอสุไหงโก-ลก เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต
ก่อนหน้านี้ ทักษิณเพิ่งไปจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศขออภัย ชูแนวทางดับไฟใต้ในยุคลูกสาวเป็นรัฐบาล
ขณะที่สหรัฐอเมริกา ก็กำลังเบนเข็มมุ่งมาอินโด-แปซิฟิก แทนการลงทุนสนับสนุนยูเครนสู้รบกับรัสเซีย
เศรษฐกิจทั่วโลก ก็กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน จากสงครามการค้าของสหรัฐอเมริกา และความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์โลก
เศรษฐกิจซวนเซหนัก ฟื้นตัวอ่อนแอกว่าเกือบทุกประเทศในอาเซียน
นายกฯคุณหนู ยังระเริงกับความเป็นนายกฯเจน Y เหมือนเก้าอี้ผู้บริหารประเทศเป็นของเล่นของตระกูล
2. วันนี้ (10 มี.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568
คาดว่า ไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากเดิม โดยจะพิจารณาโครงการเติมเงิน10,000 บาท เฟส 3 สำหรับบุคคลทั่วไป ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น“ทางรัฐ”
โดยผู้ได้รับต้องไม่ซ้ำกับโครงการในเฟส 1 และ 2 ในกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนพิการ และ กลุ่มผู้สูงอายุ ที่จ่ายเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน รวมแล้วประมาณ 17.5 ล้านคน
เท่ากับว่า การแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 3 จะเหลืออีกประมาณ 15 ล้านคน
ใครก็ประเมินได้ว่า จะไม่มีพายุหมุนอะไรต่อระบบเศรษฐกิจทั้งนั้น นอกจากถลุงเงินแผ่นดินไปอีก 1.5 แสนล้านบาท
ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นที่วายวอดเกือบทุกวัน
ส่วนตลาดอื่นๆ ตลาดชุมชนชาวบ้าน ตายไปก่อนหน้าแล้ว
3. นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ จะรู้หรือไม่ ว่าสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่งานฝึกหัดสำหรับเด็กฝึกงาน
รู้หรือไม่ว่าตำแหน่งที่ตนเองนั่งอยู่ ต้องรับผิดชอบกับชีวิต เลือดเนื้อ และความล่มสลาย ทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจชาติ
งานบริหารประเทศ ไม่ใช่แค่ใส่ชุดที่คิดว่าสวย นวยนาดไปออกงาน แล้วที่เหลือลอยตัว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร บริวารลิ่วล้อพร้อมแบกหามให้อยู่ในตำแหน่งตลอดไป
ถ้าคิดแบบนี้ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศฉิบหายแน่นอน
4. ในส่วนของสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ
4.1 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า ปีนี้ อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแรงลง แม้มีมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ แต่คาดว่าจะสนับสนุนการใช้จ่ายได้ไม่มาก ส่วนหนึ่งครัวเรือนยังถูกกดดันด้วยภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่แผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในไตรมาส 2-4 ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ปัจจัยสงครามการค้าสหรัฐ จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม 25% ในวันที่ 12 มีนาคม ทุกประเทศคู่ค้า
เตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% วันที่ 2 เมษายน พร้อมระบุถึงเซมิคอนดักเตอร์ ยา ไม้แปรรูป และทองแดง ซึ่งยังต้องรอการยืนยัน
นอกจากนี้ ทางการสหรัฐฯ กำลังจัดทำผลการศึกษา Reciprocal Tariff หรือภาษีต่างตอบแทน ซึ่งจะทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สหรัฐฯ เลือกจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเฉพาะเจาะจง 7 ประเภทสินค้า ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ยา ไม้แปรรูป ทองแดงก่อนสินค้าอื่นๆ
“...ผลทางตรงต่อการส่งออกของไทย ในภาพรวมนับว่ามีพอสมควร เนื่องจากมูลค่าการส่งออก 7 ประเภทสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 2.2หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 40% ของการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ และคิดเป็น 7.4% ของมูลค่าการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปตลาดโลกในปี 2567
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ยิ่งเมื่อในระยะหลัง การลงทุนในไทยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนจีน ทำให้ไปข้างหน้ามีความเสี่ยงที่สินค้าส่งออกจากไทยจะถูกกีดกันมากขึ้น ทั้งนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องอุปกรณ์ส่งรับเสียง/ภาพ/ข้อมูลอื่นๆ และอุปกรณ์สำหรับสื่อสาร...”
4.2 Bangkok Bank SME ฉายภาพ ทำให้เห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ 2568 น่ากังวลเป็นอย่างมาก
ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 3.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคเกษตร การขยายตัวของภาคบริการ โดยเฉพาะสาขาก่อสร้าง การท่องเที่ยว และการค้าปลีก ส่วนภาคอุตสาหกรรมยังชะลอตัว
การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายในหมวดบริการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร สุขภาพ และขนส่ง ขยายตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 9.5 ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของการซื้อยานพาหนะ อันเนื่องมาจากมาตรการเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนในปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากร้อยละ 6.9 ในปี 2566
ประการสำคัญ การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 หดตัวร้อยละ 2.1 ต่อเนื่องจากการหดตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ลดลงร้อยละ 1.7 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของการลงทุนในภาคยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ที่ลดลงร้อยละ 18.6
ขณะที่การลงทุนในภาคก่อสร้างหดตัวร้อยละ 3.9 ต่อเนื่องจากการลดลงของการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
การลงทุนภาคเอกชนตลอดทั้งปี 2567 หดตัวร้อยละ 1.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.1 ในปี 2566
การส่งออกสินค้าและบริการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 11.5 เร่งขึ้นจากร้อยละ 9.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าในหลายหมวด อาทิ สินค้าหมวดคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.0 ในปี2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น และการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าและบริการ
เศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือน การลงทุนที่ซบเซา และความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม
“...แม้ว่าในปี 2567 เศรษฐกิจจะขยายตัว แต่ในปี 2568 ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
1. การบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มชะลอ โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน ซึ่งหดตัวต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ไตรมาส กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ ยานยนต์และสินค้าอุปโภค ซึ่งเผชิญแรงกดดันจาก มาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้นของประชาชน
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของการบริโภค คือ หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อและความสามารถในการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูอุปสงค์ภายในประเทศได้อย่างเต็มที่
2. การลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความกังวลของภาคธุรกิจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังในการขยายการลงทุน เนื่องจากภาวะต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ย และความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในระดับโลก ภาคเอกชนยังคงเฝ้ารอความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนทางภาษี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม
3. ความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจาก การชะลอตัวของการผลิตสินค้าทุนและเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง ยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของภาคการผลิต ได้แก่ อุปสงค์ที่ลดลงจากตลาดต่างประเทศ การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งทำให้ไทยต้องแข่งขันกับประเทศอื่นที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เช่น เวียดนามและอินเดีย ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตไทย
นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างประเทศ และมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ยังคงเป็นปัจจัยที่อาจเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับห่วงโซ่อุปทานของโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
4. ข้อจำกัดของนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและประสิทธิภาพของมาตรการซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบต่อการบริโภคและการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากนี้ หนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาครัฐมีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐไม่สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
5. ภาคส่งออกและการท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคส่งออกของไทยจะมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย ความไม่แน่นอนด้านอุปสงค์ของตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
สำหรับภาคการท่องเที่ยวแม้ว่าจะขยายตัวได้ดี แต่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังคงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจจำกัดการเติบโตของภาคบริการและการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ความผันผวนของค่าเงินบาท ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย และสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ...” – บางส่วนในรายงานของ Bangkok Bank SME
สรุป สถานการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นผลต่อเนื่องจากปีก่อนหน้านี้
แต่ประเด็นสำคัญ คือ ศักยภาพและการสามารถของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ในปัจจุบัน เชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าจะนำพาประเทศไทยฝ่าสถานการณ์ที่เหมือนพายุใหญ่เช่นนี้ไปได้? (ความเชื่อมั่นจะสะท้อนผ่านการลงทุนของเอกชน ตลาดหุ้น ฯลฯ)
เมื่อพิจารณาการทำงาน ความรู้ความเข้าใจ การแสดงออกถึงความรู้หน้าที่ ตลอดจนความใส่ใจในความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองของผู้บริหารประเทศในปัจจุบันแล้ว
ไม่สงสัยว่าทำไมหลายคนพูดตรงกันว่า ไม่มีความเชื่อมั่นเลย!
ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร ประเทศชาติกำลังตกต่ำไปสู่ความพินาศย่อยยับ !
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี