l หลักคิด คำสอนต่างๆ ที่เกิดมา หรือ ถูกสร้างมา หรือใครสร้างขึ้น มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การนำมาใช้มาสอนให้กับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความเชื่อ หรือความเข้าใจ ถึง หลักคิด ที่นำมาใช้กับมนุษย์ในยุคนั้นๆ เป็นหลักคือ ปัจจุบันของยุคนั้นๆ : ที่มีการพัฒนาไปตาม ความตื่นตัวการรับรู้ของมนุษย์ ที่มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
๑.โดยในยุคต้น ที่มนุษย์ยังอยู่ในยุคของความป่าเถื่อน ความคิดความรู้ ยังมีน้อย อาจจะใช้“เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเขา เจ้าป่า เจ้าแม่แม่น้ำ ฯลฯ” เป็นเครื่องมือ หรือกลไกให้เกิดความเชื่อ ทั้งความปรารถนาที่ต้องการไปถึงความสุข หรือ ความกลัว ที่จะไม่ทำสิ่งไม่ดี
๒.ต่อมา ในยุค ที่เริ่มมีวัฒนธรรม คนเริ่มมีความรู้ แต่ยังไปไม่ถึง ยุควิทยาศาสตร์ หรือยุคศิวิไลซ์เริ่มจะมีลัทธิที่มีเหตุมีผลขึ้น มาถึงยุคมีศาสนา ที่มีพระเจ้า เพราะ “พระเจ้า” คือ คำตอบ ที่ผู้นำศาสนาต่างๆ ยังไม่สามารถอธิบายต่อผู้คนได้
โดยหลักการทางความคิดความเชื่อที่สมบูรณ์ ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำทางความคิด จะต้องมีความดีพร้อมดีเต็มร้อย ไม่มีข้อบกพร่องผิดพลาดซึ่งหาไม่ได้ในตัวผู้นำใดๆ ซึ่งอาจจะดีมาก แต่ก็ไม่สมบูรณ์ เพราะยังมีความผิดพลาดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
พระเจ้า : จึงมา เป็นตัวแทนฯ
๓.การเกิดศาสนา จึงต้องเกิดในประเทศ หรืออนุทวีป ที่มีผู้นำของสังคมมีความรู้สูงมากฯ
ศาสนาในประเทศอินเดีย มีความหลากหลายทั้งในศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ และการปฏิบัติโดยทางการแล้วประเทศอินเดียเป็นรัฐฆราวาส(secular state) และไม่มีศาสนาประจำชาติ อนุทวีปอินเดีย เป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาที่สำคัญของโลก 4 ศาสนา ได้แก่ ฮินดู, ไชนะ, พุทธ และซิกข์
ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมาตลอด ความหลากหลายทางศาสนาและการยอมรับความต่างทางศาสนา (Religious toleration) ล้วนปรากฏในประเทศทั้งในทางกฎหมายและทางธรรมเนียมปฏิบัติ ในรัฐธรรมนูญอินเดียได้รับรองเสรีภาพทางศาสนาให้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอินเดีย
๔.ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาหนึ่ง : ที่ศาสดาคือ พระพุทธเจ้า ยึดถือหลักธรรม
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจ ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ด้วยความเพียรของตน
กล่าวคือ ศาสนาพุทธ สอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเอง ด้วยผลแห่งการกระทำของตน ตาม กฎแห่งกรรม มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกอง ทุกข์ มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนาคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ในฐานะที่พระองค์ ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด
๕.คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือ
คำสอนของศาสนาอื่นนั้น เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ที่ศาสนิกชน จะต้องปฏิบัติตามให้เทพเจ้าพึงพอใจ ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษจากเทพเจ้าเบื้องบนฯ พระพุทธเจ้ามิใช่ผู้สร้าง แต่เป็นผู้ค้นพบความจริงของธรรมชาติ โลก และชีวิตมนุษย์ คือ คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเพียงการนำกฎความจริงของธรรมชาติมาบอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฎ หรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฎ
เรื่องความเชื่อ
เรื่องความเชื่อ พระโพธิญาณ (ชา สุภทฺโท) เคยให้ทัศนะไว้ ดังนี้ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหา หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
ผู้ถาม : เชื่อ
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
๖.เปรียบเทียบศาสนา
จุดหมายสูงสุด
๑. อิสลาม - สวรรค์ คือ ดินแดนที่จะได้รับความสุขตามที่พระอัลเลาะห์จะประทานให้
๒. คริสต์ - สวรรค์ คือ ดินแดนที่มีแต่ความสุขตามแต่พระยะโฮวาห์จะมอบให้
๓. พราหมณ์ - พรหมัน คือสภาวะดั้งเดิมของสรรพสิ่งมีความบริสุทธิ์สูงสุด
๔. พุทธ - นิพพาน คือ สภาวะที่บริสุทธิ์สูงสุด ไม่มีการเกิด จึงไม่มีการแก่/ตาย
วิธีการเข้าถึง๑.อิสลาม ต้องมีศรัทธาไม่หวั่นไหว ทำความดี ตามพระประสงค์ของพระอัลเลาะห์ ต้องสรรเสริญพระองค์ประจำ
๒.คริสต์ ต้องมีศรัทธามั่นคงห้ามสงสัย ทำความดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า เน้นรักผู้อื่น ต้องสรรเสริญพระองค์ประจำ
๓.พราหมณ์ ทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ปฏิบัติภาวนาถึงขั้นอรูปฌาน
๔. พุทธ ไม่จำเป็นต้องมีศรัทธา จึงไม่มีการอ้อนวอนร้องขอแต่ท้าให้มาพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง โดยการปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด จากนั้นส่งจิตพิจารณาองค์ฌาน จนเกิดเป็นสภาวะญาณ เกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖ ขั้น เข้าถึง “พระนิพพาน” อย่างสมบูรณ์
ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน
ถาม : ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน มีความเชื่อไม่เหมือนกันและปฏิบัติไม่เหมือนกัน
ตอบ : ที่จริงแล้ว ความจริงและความบริสุทธิ์สูงสุดมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ที่ศาสนาทั้งหลายสอนต่างกัน เพราะศาสดาของแต่ละศาสนาเข้าถึงความจริงได้ไม่เท่ากัน
โดยสรุป
ศาสนา มีฐานะในทางความเชื่อ เหตุผล ตรรกะฯ สูงกว่า “ความเชื่อต่างๆ ในยุคก่อน” ด้วยการมีความรู้ทางเชิงวิชาการ ทางเหตุผล ที่ได้รับการพัฒนามาในช่วงหลัง ที่มีวัฒนธรรมความรู้ที่เจริญก้าวหน้ากว่า
แต่ศาสนาที่ต่างกัน นอกจากอยู่ในยุคสมัยที่ต่างกันแล้ว ซึ่งประเด็นใหญ่ คือ ในยุคของการเกิดศาสนา การติดต่อสื่อสารกันยังอยู่ในปริมณฑลที่จำกัด :ต่างกัน ในแง่ของการเมือง การปกครองและวัฒนธรรมฯและในยุคหลังๆ จนมาถึงยุคปัจจุบัน ที่มีความรู้ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เพิ่มขึ้นมาก ผู้คนที่มีความรู้ มีเหตุผล จะตั้งคำถาม ต่อ “ศาสนาต่างๆ มากขึ้น”
แต่หัวใจที่สำคัญ ที่คนยังนับถือศาสนาต่างๆ มากอยู่ และมากกว่า ผู้ไม่นับถือศาสนา
๑.นอกจากศาสนา จะมีศาสดาของศาสนาที่สอนคนให้เป็นคนดี
๒.หลักธรรมของศาสนาต่างๆ มีหลักของการให้ความคิดและการปฏิบัติ เพื่อให้คนเป็นคนดี
๓.ผู้นำทางศาสนาที่สอน ใช้การสอนที่สอดคล้องกับสภาพสังคม
๔.และอีกประการใหญ่ที่สำคัญคือ
ในปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถตอบคำถามของผู้คนได้ทุกเรื่อง
จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อในศาสนา ทั้งศาสนาพุทธ และศาสนาที่มีพระเจ้าฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี