แก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศไม่ได้ บริหารไม่เป็น ทำได้แต่แจกเงินหมื่น!
1. ก่อนหน้านี้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสที่ 3 ให้กับกลุ่มผู้มีอายุ 16 – 60 ปีทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 16 ล้านคน ยังคงเดินหน้าตามกำหนดเดิมในช่วงไตรมาส 2 ปี’68 หรือช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. ซึ่งได้เตรียมวงเงินไว้ประมาณ 160,000 ล้านบาท
ล่าสุด บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 เฉพาะวัยรุ่น 16-20 ปี !!!
2. เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ได้เคาะแล้ว จะแจกให้สำหรับประชาชนที่มีอายุ 16 - 20 ปี โดยเป็นการเห็นชอบในหลักการ
คาดว่า การแจกจะอยู่ในช่วงปลายไตมาส 2 ควบไตรมาส 3 ซึ่งเราจะรอดูความเรียบร้อยและพิจารณาถึงความคุ้มค่าในอนาคตและปัจจุบันก่อน รวมถึงประโยชน์ที่ได้ในการวางพื้นฐาน ต้องดูให้ละเอียดถี่ถ้วน และยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าจะเข้า ครม.เมื่อไหร่
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จำนวนผู้ที่ได้รับในเฟสนี้ 16 - 20 ปี มีจำนวน 2.7 ล้านคน
“...การที่เลือกแจกประชาชนกลุ่มนี้ ไม่ใช่ข้อจำกัดของงบประมาณ หรือรัฐบาลจะนำเงินลงไปในกลุ่มไหน แต่เลือกเพราะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม จำนวนเม็ดเงินที่ลงไปสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ... รัฐบาลได้กันเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ 150,000 ล้านบาท เรามีกระสุนไว้เพียงพอ มีไว้เยอะ รัฐบาลใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า พร้อมยืนยันว่าการเลือกแจกกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ตื่นรู้ทางเทคโนโลยีสูงมีความสามารถในการใช้จ่ายในแบบนี้ ด้วยจำนวนเงินช่วงเวลาที่เหมาะสม รัฐบาลจึงเลือกคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรก” รมช.เผ่าภูมิ กล่าว
เมื่อถามถึงเงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัล วอลเล็ต มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่?
รมช.คลัง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า โครงการดิจิทัล วอลเล็ตครั้งนี้ เป็นการตั้งโครงการขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยการดึงข้อมูลมาจากแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ส่วนรายละเอียด การใช้เงินค่อนข้างที่จะคล้ายเดิม แต่เรื่องของสินค้า เราไม่กำหนดห้าม เราไปกำกับดูแลการลงทะเบียนของร้านค้าแทน จะมีข้อห้ามว่าร้านค้าที่ไม่ให้เข้าร่วมจะเป็นลักษณะใด เช่น ร้านทอง ร้านที่ขายเหล้าโดยเฉพาะ แต่ไม่ได้ห้ามตัวสินค้า ยกตัวอย่าง หากนำไปใช้ในร้านโชห่วย ที่มีสินค้าหลากหลาย ก็สามารถซื้อได้ทุกประเภท พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยน โดยการทำให้ง่ายขึ้น คือ ถอดการขึ้นเงินสดของร้านค้า โดยให้ร้านค้าทุกประเภท สามารถขึ้นเงินได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในการเสียภาษี เพื่อให้เกิดการสะดวกแก่ร้านค้า และเป็นการเชิญชวนให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการเรามากขึ้น
“ครั้งนี้เรายังมีกลไกในการเติมเงิน อายุ 16-20 ปี เพื่อไปใช้เรื่องปัญหาค่าครองชีพของเขา และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไปในอนาคต” รมช.จุลพันธ์กล่าว
3. ดูเหมือนโครงการนี้ จะไม่ก่อให้เกิดพายุหมุนในทางเศรษฐกิจ
แต่คนทำโครงการกำลังหัวหมุนหรือไม่ จึงเปลี่ยนรายละเอียดไปเรื่อยๆ
เมื่อวานนี้ นักข่าวถามว่า กลุ่มที่มีอายุ 20 - 59 ปี ยังมีสิทธิรับเงิน 10,000 บาทใช่หรือไม่?
รมช.จุลพันธ์ กล่าวว่า “แน่นอน อย่างที่เรียนไปเรามีเม็ดเงินรอไว้อยู่ 150,000 ล้านบาท วันนี้เราทำครั้งนี้ไป กรอบระยะเวลาในการใช้เงินก็เหลือไตรมาสเดียว ดังนั้น กลุ่มถัดไป ก็คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการแจก”
คำถาม คือ ถ้ามีความพร้อมจริง แล้วทำไมไม่แจกในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดพายุหมุนตามที่คุยโม้ไว้แต่แรก
พฤติการณ์ของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเช่นนี้ กำลังล้มละลายทางความน่าเชื่อถือแล้ว
4. คงจำได้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยส่งหนังสือด่วนที่สุด เพื่อเสนอความเห็นที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ตอนที่พิจารณาโครงการแจกเงินหมื่น
มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ระบุว่า
ธปท. พิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จึงควรดำเนินการให้เกิดประโยชน์มากที่สุดภายใต้งบประมาณที่มีอยู่
โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้
“1. ในระยะต่อไป ควรจัดแบ่งงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ไปสู่การลงทุนภาครัฐเพิ่มเติม เช่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โครงการพัฒนาบุคลกรในสาขาที่ขาดแคลนและจำเป็น ซึ่งนอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังจะช่วยวางรากฐาน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
2. ด้วยเหตุที่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้สร้างภาระทางการคลังสูง จึงควรติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของโครงการอย่างใกล้ชิด อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับการบริหารเครื่องมือในการระดมทุนให้เหมาะสม และเร่งชำระคืนต้นเงินกู้เพื่อรองรับการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพด้านการคลังและลดความเสี่ยงจากต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชนที่อาจสูงขึ้นได้
3.ภาครัฐควรนำประสบการณ์จากการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้ามาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงข้อมูลและยกระดับกลไกการเชื่อมข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รวดเร็ว ทันการณ์ และครอบคลุมยิ่งขึ้น ...”
แต่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ก็ยังคงมั่นหน้า จะเดินหน้าต่อ เพราะหวังผลทางการเมืองกลัวเสียหน้า กลัวเสียฟอร์ม เพราะประกาศหาเสียงไว้สวยหรู
สุดท้าย ก็เดินหน้าแบบถูลู่ถูกังไป
พายุหมุนก็ไม่เกิด แต่ได้ผลาญเงินแผ่นดินไปแล้ว กว่า 2 แสนล้านบาท
5. ล่าสุด นายกฯอุ๊งอิ๊งค์แสดงวิสัยทัศน์ต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หวังจะเพิ่มความเชื่อมั่น
ระบุว่า
“ด้วยเศรษฐกิจในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มฟื้นตัวตามลำดับ โดยมีการบริโภค การส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
โดยในปีนี้ กระทรวงการคลังประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้ 3%
แต่รัฐบาลเชื่อว่า ด้วยศักยภาพเศรษฐกิจไทย การร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ค่ะ
วงประชุมวันนี้ จึงเป็นวงที่เรามาร่วมกันคิด เสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ และอยู่ในกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่วมกันวางโครงสร้างในระยะยาวไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งในวันนี้ที่ประชุมได้มีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สาม เพื่อเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ โดยที่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ลงทะเบียนผ่าแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี และจะต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อสแกน QR code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่ประชาชนมีอยู่ตามทะเบียนบ้าน
โดยดิฉันได้เน้นย้ำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สำคัญอย่างการท่องเที่ยว ที่จะต้องดำเนินต่อไปตามแผนงาน และมีแผนงานใหม่ที่มุ่งไปยังกลุ่ม luxury เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวมากขึ้น
อีกเรื่องที่สำคัญคือกลุ่มการเกษตร ที่จะต้องพัฒนากระบวนการเกษตรทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การส่งออกสินค้าเกษตร และดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เป็นธรรมหรือสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกร และทำให้รายได้ประเทศสูงขึ้นด้วย”
6. ถ้อยแถลงของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ข้างต้น ไม่ได้เพิ่มความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจเลย
ตรงกันข้าม กับเพิ่มความมั่นใจว่า กึ๋น และฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน มีเท่านี้จริงๆ
ไม่มีหวังว่าจะมีกลยุทธ์ กลวิธี หรือสติปัญญาในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในความท้าทายของสถานการณ์โลกในปัจจุบันได้ดีกว่านี้แล้ว
น่าหดหู่ใจมาก
7. การคุยโม้ลอยๆ ว่า จะทำให้เศรษฐกิจโตได้มากกว่า 3% โดยคนอย่างนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ซึ่งตั้งแต่เป็นนายกฯ มาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีผลงานอะไรเลย
ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นอะไรขึ้นมาเลยอย่างแท้จริง
นายกฯ อุ๊งอิ๊งรู้หรือเปล่า ว่าจีดีพีประเทศไทยมูลค่าเท่าไหร่?
ตัวเลขกลมๆ GDP ประเทศไทยประมาณ 18 ล้านล้านบาทกว่าๆ
ถ้าจะโต 3% หมายถึงจะต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 6 แสนล้านบาท
รัฐบาลปัจจุบันไม่เคยเผยรายละเอียดเลยว่า นอกจากกู้มาแจกแล้ว รายได้ประเทศจะเพิ่มขึ้นจากอะไร?
เพราะส่วนที่กู้มาแจกตอนนี้ ก็หลายแสนล้านบาท แต่มันคือเงินในอนาคต ที่ไม่ได้สร้างพายุหมุน มีแต่ภาระทางการคลังที่ต้องใช้หนี้ต่อไป
เพจลงทุนแม่น ถึงขนาดบอกว่า “อีก 3 ปี เวียดนามจะมี GDP แซงไทยแล้ว”
บางส่วนชี้ให้เห็นเลยว่า
ปี 2024 หรือปีที่แล้ว ไทยมี GDP 18.6 ล้านล้านบาท
เวียดนามมี GDP ราว 16.0 ล้านล้านบาท
GDP ไทย เติบโตเฉลี่ย 2.5%
GDP เวียดนาม เติบโตเฉลี่ย 7%
ตัวเลข GDP ที่คาดการณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า จะคำนวณได้เป็น
ปี 2025 GDP ไทย 19.0 ล้านล้านบาท, GDP เวียดนาม 17.1 ล้านล้านบาท
ปี 2026 GDP ไทย 19.5 ล้านล้านบาท, GDP เวียดนาม 18.3 ล้านล้านบาท
ปี 2027 GDP ไทย 20.0 ล้านล้านบาท, GDP เวียดนาม 19.6 ล้านล้านบาท
ปี 2028 GDP ไทย 20.5 ล้านล้านบาท, GDP เวียดนาม 21.0 ล้านล้านบาท
จะเห็นได้ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า GDP เวียดนามจะแซงไทย
“และหากเทียบเครื่องยนต์ด้านเศรษฐกิจ ที่มีอัตราการเร่งที่ต่างกันขนาดนี้ ไม่ใช่แค่โดนแซง แต่ในอนาคตระยะไกล ไทยจะโดนเวียดนาม ทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ...”
เอวัง ประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี