เวลานักการเมืองต้องการสร้างภาพว่าแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ
ถ้ามักง่าย ก็เห็นวิธีทำ 2 แบบ ได้แก่
หนึ่ง ประกาศขึงขัง ห้ามราคาตกต่ำ ห้ามสินค้าตกค้าง ห้ามโกงน้ำหนัก โกงความชื้นเกษตรกร
สอง หากราคาตกต่ำ ก็เอาเงินหลวงรับซื้อในราคาแพงกว่าท้องตลาด รัฐจะขาดทุนก็ช่างแม่ม
2 แบบนี้ คือสูตรสำเร็จแบบมักง่าย ไม่มีความจริงใจ ไร้ความรู้ความสามารถที่จะแก้ปัญหาที่แท้จริง
1. กรณีราคาข้าวเปลือกนาปรังตกต่ำขณะนี้
เราได้ยินข้อเสนอแก้ปัญหาแบบแปลกๆ มาโดยตลอด เช่น ให้ชาวนาเปลี่ยนไปปลูกกล้วย ให้เรากินข้าวมากขึ้นเพื่อช่วยชาวนา ฯลฯ
การให้ชาวนาเปลี่ยนไปปลูกกล้วย ช่วยแก้ปัญหาให้เฉพาะชาวนาที่มีพื้นที่ มีปัจจัยการผลิตพร้อมจะเปลี่ยนไปปลูกกล้วย ซึ่งก็ทำไม่ได้ทันที และคงต้องตามไปแก้ปัญหาเมื่อกล้วยราคาตกต่ำต่อไปอีกในอนาคต
ส่วนที่ให้คนไทยช่วยกันกินข้าวมากขึ้นนั้น ข้อเสนอนี้สะท้อนความไม่รู้ไม่เข้าใจโครงสร้างและระบบตลาดข้าวในระดับเป็นหลุมดำเลยก็ว่าได้
2. ความจริงโครงสร้างตลาดข้าว
ข้อมูลจากวิจัยกรุงศรี สรุปสถานการณ์ตัวเลขของโครงสร้างตลาดข้าวล่าสุด กล่าวโดยสรุป ดังนี้
“ข้าว” เป็นสินค้าเกษตรส่งออกหลักของประเทศไทยชนิดหนึ่ง
ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด (คิดเป็น 49.1% ของพื้นที่เกษตรทั้งหมดของประเทศ)
ครอบคลุมครัวเรือนถึง 5.2 ล้านครัวเรือน (คิดเป็น 67.1% ของจำนวนครัวเรือนภาคเกษตรทั้งหมด)
เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นกลุ่มที่ได้รับโครงการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป็นต้น ในอดีตมีโครงการรับจำนำข้าวที่นักการเมืองและพ่อค้าข้าวร่วมกันโกงกินมโหฬาร
ในรอบปีเพาะปลูก 2565/66 ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งสิ้น 73.44 ล้านไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง
โดยการปลูกข้าวของไทยเน้นพึ่งน้ำฝน มีช่วงเวลาเพาะปลูกสำคัญตั้งแต่ช่วงเข้าหน้าฝน (นิยมปลูกช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมของทุกปี) และเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายน) เรียกว่า “ข้าวนาปี” ผลผลิตมีทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ซึ่งมีปริมาณรวมกันกว่า 79% ของผลผลิตข้าวรวมทั้งประเทศในแต่ละรอบปีการเพาะปลูก
ส่วนที่เหลือประมาณ 21% เป็น “ข้าวนาปรัง” คือ ข้าวที่เพาะปลูกในฤดูแล้งซึ่งต้องอาศัยน้ำจากระบบชลประทาน โดยเกษตรกรนิยมเพาะปลูกช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคมของปีถัดไป ส่วนใหญ่ปลูกในภาคกลางและภาคเหนือ
ข้อมูลพึงจำใส่ใจ...
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีผลผลิตข้าวเปลือกเฉลี่ยปีละ 31-32 ล้านตัน
นำไปสีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 20-21 ล้านตัน
ใช้บริโภคภายใน ประเทศเฉลี่ย 10-11 ล้านตัน (ส่วนที่เหลือส่งออกและสต๊อก) ในจำนวนนี้ แบ่งเป็น
1) ข้าวเพื่อใช้บริโภคโดยตรง มีสัดส่วน 30% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย ซึ่งปัจจุบันมีช่องทางจำหน่ายสู่ผู้บริโภค 3 ช่องทาง คือ
1.1) การจำหน่ายในลักษณะข้าวบรรจุถุง (สัดส่วน 49.8% ของปริมาณจำหน่ายข้าวสำหรับบริโภคโดยตรงของไทยทั้งหมด) โดยช่องทางจำหน่ายหลักของข้าวสารบรรจุถุงสำหรับบริโภคของไทย ได้แก่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต (สัดส่วน 30.6% ของปริมาณจำหน่ายข้าวสำหรับบริโภคโดยตรงของไทยทั้งหมด) รองลงมาเป็น ร้านสะดวกซื้อ (12.2%) และซูเปอร์มาร์เก็ต (7.0%)
1.2) ร้านขายของชำในท้องถิ่นขนาดเล็ก (Small Local Grocers) และร้านค้าจำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่าง มีสัดส่วน 37.9% และ 10.1% ตามลำดับ
1.3) การจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) และที่ไม่ได้เป็นร้านค้า (Non-Grocery) มีสัดส่วนรวมกัน 2.2%
2) ข้าวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วน 25% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย จำแนกตามประเภทอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้ดังนี้
2.1) อุตสาหกรรมแปรรูปข้าวมีสัดส่วนราว 15% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย อาทิ แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว โจ๊กกึ่ง สำเร็จรูป เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมขบเคี้ยว แอลกอฮอล์เครื่องดื่ม น้ำมันรำข้าว และ
2.2) อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ (ส่วนใหญ่เป็นอาหารปศุสัตว์ อาทิ สุกร ไก่ เป็ด) มีสัดส่วนราว 10%
3) ข้าวเพื่อใช้ทำเมล็ดพันธุ์ มีสัดส่วนประมาณ 5% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย
ส่วนข้าวเพื่อการส่งออก มีสัดส่วนประมาณ 40% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย
4) ข้าวเพื่อการส่งออก มีสัดส่วนประมาณ 40% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย
ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยในปี 2566 มีสัดส่วน 39.7% ของปริมาณผลผลิตข้าวสารทั้งหมดของไทย
โดยข้าวไทยยังคงได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ อิรัก สหรัฐฯ จีน ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
ทั้งนี้ ประเภทข้าวที่ไทยส่งออกปริมาณมาก คือ ข้าวขาว (White Rice) รองลงมาเป็น ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice)9/ ข้าวหอมมะลิ (Jasmine Rice) ปลายข้าว/ข้าวหัก (Broken Rice)10/ ข้าวเหนียว (Glutinous Rice) และข้าวกล้อง (Brown Rice) และข้าวอื่นๆ ตามลำดับ
ข้าวขาว เป็นประเภทของข้าวที่มีปริมาณการค้าสูงสุดในตลาดโลก โดยปริมาณการส่งออกของไทยอยู่ที่ 4.83 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นสัดส่วน 55.1% ของปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวทั้งหมดของไทย
ตลาดส่งออกหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชีย และแอฟริกา โดยส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซียสูงสุดที่ 25.7% ของตลาดข้าวขาวทั้งหมด รองลงมาเป็น อิรัก (17.6%) ฟิลิปปินส์ (8.3%) มาเลเซีย (8.2%) ญี่ปุ่น (6.7%) และโมซัมบิก (4.1%) ตามลำดับ
ทั้งนี้ ข้าวขาวจะแบ่งเป็นเกรดต่างๆ ที่มีราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสัดส่วนข้าวหัก โดยหากมีข้าวหักปนอยู่มากราคาจะต่ำลง
5) ตลาดโลกของการค้าขายข้าว
โครงสร้างตลาดข้าว ประการสำคัญ ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวที่สำคัญของโลก
ปี 2565/2566 ไทยมีผลผลิตข้าวสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก คิดเป็นสัดส่วน 4.1% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก (รองจากจีน อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และเวียดนามซึ่งมีสัดส่วนผลผลิต 28.3%, 26.3%, 7.0%, 6.6% และ 5.2% ตามลำดับ)
ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็น 16.0% รองจากอินเดียที่มีส่วนแบ่งตลาด 37.1% โดยมีคู่แข่งอื่นๆ ที่สำคัญ อาทิ เวียดนาม ปากีสถาน และกัมพูชา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกข้าวทั่วโลกมีสัดส่วนเพียง 10.6% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก เนื่องจากข้าวเป็นพืชที่ปลูกเพื่อความมั่นคงด้านอาหารภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น ปริมาณการค้าข้าวระหว่างประเทศจึงเป็นผลผลิตส่วนเกินจากการบริโภคในแต่ละประเทศ
ตลาดนำเข้าข้าวส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคแอฟริกา และเอเชีย ตามลำดับ
ปีนี้ เมื่ออินเดียส่งออกข้าวเยอะ ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกต่ำลง
ดูง่ายๆ ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศผู้ส่งออกโดยเปรียบเทียบ
ส่งผลให้การส่งออกในช่วง 3 เดือนล่าสุด (พฤศจิกายน 2567 – มกราคม 2568) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 0.59 ล้านตัน สร้างแรงกดให้ราคาข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% รับซื้อ ณ ที่นา ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 ปรับลดลงเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 โดยปรับลดลงไปแล้วกว่าตันละ 1,400 บาท หรือลดลงแล้วกว่า 13% เมื่อผลผลิตข้าวนาปรังออกมา ก็เพิ่มภาวะที่ผลผลิตล้นกว่าความต้องการเพิ่มเติม ส่งผลให้ราคารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% ปรับลดลงจนเหลือที่ราคาราว 8,000 – 8,800 บาทต่อตัน
หรือปรับลดลงจากราคา ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 6 แล้ว กว่า 17.0% – 24.5% (หรือลดลง 1,800 – 2,600 บาทต่อตัน)
3. แก้ปัญหาข้าว ไม่ใช่ของเด็กเล่น อย่ามักง่าย
จากความจริงของโครงสร้างการผลิตและตลาดข้าวข้างต้น ทำให้เห็นว่า การที่ราคาข้าวช่วงนี้ตกต่ำ มันมีเหตุปัจจัยอย่างไร?
แล้วถ้าคนไทยช่วยกันกินข้าวเยอะขึ้นเพื่อจะช่วยชาวนา จะต้องกินเยอะขึ้นขนาดไหน จึงจะช่วยชาวนาได้จริงๆ
คนไทยสามารถกินข้าวได้ถึง 10 ล้านตันข้าวสารหรือไม่?
แต่จริงๆ สมมุติ ถ้าคนไทยกินข้าวเยอะขึ้นขนาดนั้น ราคาข้าวในประเทศก็จะสูงขึ้น และหากแพงกว่าราคาในตลาดโลก ข้าวในตลาดโลกราคาถูกกว่าก็จะไหลเข้ามาขายในประเทศไทยเราเอง
อย่าลืมว่า เราไม่ใช่ผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก เพียงแต่เราส่งออกเยอะกว่าผู้ผลิตรายใหญ่รายอื่นๆ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองปี 2568 เป็นปีที่ชาวนาไทยเผชิญแรงกดดันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง จากภาวะที่ราคารับซื้อข้าวปรับลดลง จากแรงกดดันของผลผลิตข้าวในปี 2567 ที่ผ่านมาสูงขึ้นถึง 34 ล้านตันข้าวเปลือก (เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ราว 2 ล้านตันข้าวเปลือก) รวมถึงแรงกดดันจากการที่อินเดียเริ่มกลับมาส่งออก
ttb analytics ประเมินต้นทุนการเพาะปลูกในปี 2567 พบว่า ต้นทุนข้าวเปลือกตกอยู่ที่ราว 7,800 – 8,900 บาทต่อตัน (ในกรณีที่เกษตรกรมีต้นทุนค่าเช่านาและเครื่องจักรกลทางการเกษตร) บนสถานการณ์ราคารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% ที่ 8,000 – 8,800 บาทต่อตัน และคาดว่าเมื่อข้าวนาปรังออกมาเต็มที่ สถานการณ์อาจรุนแรงมากกว่านี้
ส่งผลให้ชาวนาไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญภาวะขาดทุนที่สูง
ttb analytics มองว่า มาตรการที่รัฐออกมา 3 มาตรการ เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
ได้แก่ 1. โครงการชะลอและเก็บข้าว เพื่อช่วยลดปริมาณข้าวที่ออกสู่ตลาดในช่วงเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ราคาข้าวเปลือกทรงตัวได้ดีขึ้น 2. โครงการชดเชยดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่เก็บสต๊อก โดยรัฐบาลจะช่วยเหลือดอกเบี้ยในอัตรา 6% แก่ผู้ประกอบการที่เก็บสต๊อก
ข้าวในช่วง 2-6 เดือน และ 3. โครงการเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก โดยรัฐจะสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 500 บาทต่อตัน เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เหมาะสม
เห็นว่า เป็นเพียงการชะลอราคาไม่ให้ลดลงอย่างรวดเร็วจากภาวะผลผลิตที่เกินความต้องการ
ปัญหาเหล่านี้ ก็ยังคงจะต้องเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีผลผลิตข้าวสูง ซึ่งจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทางภาครัฐควรหามาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอีก ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหาตั้งแต่ภาครัฐไปถึงชาวนา
พรุ่งนี้ มาติดตามต่อว่า ttb analytics นำเสนอทางแก้ปัญหาอย่างไร?
และทางรอดที่ยั่งยืนของข้าวและชาวนาไทย คืออะไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี