นั่นคงทำให้เข้าใจชัดเจนว่า ทำไมแนวคิดแบบ รับจำนำทุกเมล็ดเพื่อดันราคาตลาดโลก หรือปลูกกล้วยแทนข้าว หรือคนไทยช่วยกันกินข้าวเยอะขึ้น ฯลฯ
จึงเป็นแนวคิดที่ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนแท้จริง
1. ปีนี้ 2568 กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ประเมินออกมาแล้วว่า การส่งออกข้าวไทยจะลดลงจากปี 2567
เพราะตลาดการค้าข้าวโลกจะมีการแข่งขันสูงขึ้น จากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย อีกทั้ง ปริมาณผลผลิตข้าวของทั้งประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้าข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะภัยแล้งคลี่คลาย
โดยคาดว่า ปี2568 ไทยจะส่งออกข้าวได้อย่างน้อย 7.5 ล้านตัน (ข้าวสาร)
ลดจากปี 2567 ซึ่งตัวเลขส่งออกข้าวไทยสูงถึง 9.95 ล้านตัน สูงสุดในรอบ 6 ปี นำรายได้เข้าประเทศสูงถึง 225,656 ล้านบาท (ประมาณ 6,434 ล้านเหรียญสหรัฐ)
นั่นเป็นผลมาจากความต้องการนำเข้าข้าวเพื่อรองรับกับความต้องการบริโภค ชดเชยผลผลิตที่ลดลง บรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อด้านอาหาร และเพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศผู้ซื้อ ประกอบกับอินเดียมีมาตรการระงับการส่งออกข้าวขาวมาตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนตุลาคม 2567 ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวขาวจากอินเดียพิจารณานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น
โดยไทยส่งออกข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่ง ที่ปริมาณ 5.99ล้านตัน คิดเป็น 60% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด
รองลงมา ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย 1.74 ล้านตัน ข้าวนึ่ง 1.27 ล้านตัน ข้าวหอมไทย 0.63 ล้านตัน ข้าวเหนียว 0.30 ล้านตันและข้าวกล้อง 0.02 ล้านตัน
2. ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ชี้ว่า ปี 2568 ผลผลิตข้าวจากหลายประเทศออกสู่ตลาดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอินเดียที่เพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตและมีปริมาณผลผลิตมากกว่าปกติถึง 4 – 5 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งถือเป็นปริมาณสูงที่สุดในรอบหลายสิบปี
สำหรับเวียดนามจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568, อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลกและมีการนำเข้าประมาณ 4 - 5 ล้านตันในปี 2567 ได้ประกาศว่าจะไม่นำเข้าข้าวในปี 2568 เนื่องจากมีนโยบายที่จะพึ่งพาตนเองในการผลผลิตข้าวภายในประเทศ, ฟิลิปปินส์ ยังคงนำเข้าข้าวปกติ
นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ยืนยันว่า การเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวในตลาดโลก ขณะที่ความต้องการซื้อข้าวลดลง จะส่งผลให้ราคาข้าวส่งออกและราคาข้าวเปลือกในประเทศปรับตัวลดลง
2. ข้อมูลสถานการณ์ข้างต้น คือ สัญญาณเตือนถึงสถานการณ์ข้าวในประเทศไทยปีนี้
เมื่อส่งออกข้าวได้น้อยลง ในขณะที่ผลผลิตปีที่ผ่านมาสูงถึง 34 ล้านตัน(ข้าวเปลือก) ปีนี้ก็ไม่น้อยไปกว่าเดิม
ราคาข้าวในประเทศปีนี้ ย่อมมีแนวโน้มจะตกต่ำลง
คำถาม คือ ภาครัฐรู้แล้ว แต่เตรียมการรับมือไว้แล้วหรือไม่? อย่างไร?
กล้าพูดความจริงให้ชาวนาและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อเตรียมรับมือกันแล้ว หรือยัง?
นี่ยังไม่นับผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐอเมริกา ทั้งที่โดยตรงกับไทย และโดยอ้อมผ่านจีนกับประเทศอื่นๆ
3. ขณะนี้ ชาวนาที่กำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวตกต่ำ คือ ชาวนาที่ทำนาปรังเท่านั้น
อาจเรียกว่า เป็นแค่หนังตัวอย่าง
เพราะข้าวนาปีจำนวนมหาศาลที่จะออกมาช่วงปลายปี นั่นคือจุดที่จะวิกฤต หากราคาตกต่ำตามที่คาดไว้
คนไทยบริโภคข้าวเฉลี่ย 72 กิโลกรัม/คน/ปี จะให้กินเพิ่มขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้
รัฐบาลจะต้องหาแนวทางอื่นมาเตรียมพร้อมรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics แสดงให้เห็นแนวโน้มราคารับซื้อข้าวเปลือก ตามตาราง
จะเห็นว่า ปี 2568 ราคารับซื้อข้าวปรับลดลง จากแรงกดดันของผลผลิตข้าวในปี 2567 ที่ผ่านมาสูงขึ้นถึง 34 ล้านตันข้าวเปลือก (เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ราว 2 ล้านตันข้าวเปลือก) รวมถึงแรงกดดันจากการที่อินเดียเริ่มกลับมาส่งออก ส่งผลให้ชาวนาไทยบางส่วน จะต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนมากขึ้น (ขึ้นอยู่กับชาวนารายใด มีต้นทุนการผลิตเท่าไหร่)
ข้อมูลของ ttb analytics ได้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับชาวนาที่ต้นทุนข้าวเปลือกตกอยู่ที่ราว 7,800 – 8,900 บาทต่อตัน (ในกรณีที่มีต้นทุนค่าเช่านาและเครื่องจักรกลทางการเกษตร) บนสถานการณ์ราคารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่มีความชื้น 15% ที่ 8,000 -8,800 บาทต่อตัน และราคาจะลดลงไปอีกเมื่อข้าวนาปรังออกมาเต็มที่ ก็จะเผชิญกับภาวะขาดทุนหนักขึ้น
4. ttb analytics นำเสนอทางแก้ปัญหาอย่างไร? ทางรอดที่ยั่งยืนของข้าวและชาวนาไทย คืออะไร?
4.1 ภาครัฐควรจัดตั้งกองทุนเพื่อลดต้นทุนการเพาะปลูก
เช่น เพื่อลดค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าพันธุ์ข้าว รวมถึงจัดหาสินค้าราคาต้นทุนให้เกษตรกรเช่าใช้ในราคาที่ต่ำลง เช่น เครื่องจักรกลทางการเกษตร หรือสินค้าราคาต้นทุนที่ใช้ในการแปรรูปสินค้า เช่น โรงสีชุมชน ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรแปรรูปสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ ให้กลายเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่สามารถตอบสนองความต้องการการบริโภคของภาคครัวเรือนได้โดยตรง
4.2 ภาครัฐควรให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่เกษตรกรเพิ่มเติม เพื่อให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการเพาะปลูกมากขึ้น
เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกให้มากขึ้นผ่านระบบที่มีความแม่นยำสูง (Precision Agriculture) จะทำให้สามารถช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย ลดปริมาณการใช้ยาปราบศัตรูพืชได้
เนื่องจากตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ที่ชี้ว่าผลผลิตข้าวเฉลี่ยของไทยต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย เวียดนาม และจีน ถึง 13%, 48% และ 52% ตามลำดับ
รวมถึงการทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ย 7% ลดการใช้น้ำได้ 4% และลดการใช้ยาฆ่าแมลงได้ 9% รวมถึงประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการเพาะปลูก
4.3 ภาครัฐควรบูรณาการกับภาคเอกชนเพื่อช่วยพัฒนาสินค้าแปรรูปจากข้าว
เนื่องจากปัจจุบันข้าวไทยส่วนใหญ่ใช้บริโภคในมื้ออาหารหลัก ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคในประเทศแต่ละปีไม่สามารถเพิ่มได้มากนัก และย่อมเกิดปัญหาในทุกๆ ครั้งเมื่อผลผลิตข้าวที่ได้เยอะกว่าที่ต้องการ
ดังนั้น การเน้นด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหาร (Research and Development) จึงเป็นการต่อยอดให้เกิดการบริโภคเพิ่มเติม ลดข้อจำกัดที่ข้าวจะถูกใช้บริโภคเพียงในมื้ออาหารได้
4.4 ชาวนาควรเร่งพัฒนาตนเองและเปิดรับเทคโนโลยีการเพาะปลูกใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
และต้องพัฒนาตนเป็นผู้ประกอบการที่เชื่อว่าการทำการเกษตร คือ การทำธุรกิจที่อาจประสบภาวะขาดทุน จึงอาจไม่ใช่เรื่องที่ภาครัฐต้องมีงบประมาณช่วยเหลือทุกครั้งที่มีปัญหา
หากชาวนาตระหนักถึงความเป็นผู้ประกอบการ การวางแผนการเพาะปลูกอาจช่วยลดภาวะการขาดทุน เช่น การหันไปจับตลาดเฉพาะกลุ่มในบางโอกาสที่คาดการณ์ว่าอุปทานส่วนเกิน เช่น การหันมาเพาะปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ตอบโจทย์กระแสคนรักสุขภาพในปัจจุบัน และมีราคาขายข้าวเปลือกสูงกว่าข้าวทั่วไปที่ประมาณ 20-50% ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ฯลฯ
“ปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำของชาวนาไทย เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เผชิญในทุกยุคสมัย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การแก้ไขแต่ละครั้งเป็นเหมือนยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการเจ็บได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในสถานการณ์ปี 2568 นี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สถานการณ์หลายด้านสุมแรงกดดันกับชาวนาอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่หวังว่าวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกันช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง จริงใจและร่วมรับผิดชอบ เพื่อให้ปัญหาที่เกิดกับชาวนาลดหายไปได้ในระยะยาว” -ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics
5. ความจริง ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ถูกนำเสนอมาโดยตลอด
แต่นักการเมืองผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายมักสนใจเฉพาะการรักษาคะแนนนิยมเฉพาะหน้า
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ เคยนำเสนอหลายครั้งก่อนหน้านี้
โดยยืนยันว่า เกษตรกรไทยมีความจำเป็นต้องมุ่งพัฒนาให้ไปสู่การเป็นเกษตรกรมืออาชีพ รวมทั้งเกษตรกรรายใหญ่ หรือรวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่สามารถจัดการเชิงธุรกิจได้ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนที่เก่งด้านการตลาด และภาควิชาการ ส่วนเกษตรกรรายเล็กที่ยังเปราะบาง มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวหารายได้นอกภาคเกษตร ดังนั้น นโยบายที่สำคัญจะต้องมีการจ้างงานนอกภาคเกษตรรองรับ รวมทั้งเร่งฝึกทักษะใหม่ๆ ส่วนการให้เงินอุดหนุนเกษตรกรนั้น จะต้องจูงใจให้เกษตรกรใช้นวัตกรรมเกษตรเท่าทันภูมิอากาศ
“ระบบการส่งเสริมเกษตรจะต้องเลิกทำแบบเสื้อโหล โดยต้องคำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างของเกษตรกรและสภาพภูมิประเทศ มีวิธีการปรับตัวควบคู่กันหลายวิธี ซึ่งจะต้องอาศัยการคิดระบบส่งเสริมแบบ 4 ประสาน คือ เกษตรกร เอกชน วิชาการ และรัฐ ขณะเดียวกันควรลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับระบบข้อมูลเกษตรและลงทุนปรับปรุงระบบพยากรณ์อากาศ เพื่อสนับสนุนการปรับตัวที่เหมาะสมให้กับเกษตรกร” - ดร.นิพนธ์ระบุ
การเปลี่ยนแปลง คือทางเลือกและทางรอดของชาวนาไทย
รัฐควรใช้วิกฤตปัญหา เป็นโอกาสเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ทำให้ชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนเสียที
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี