ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 นั้น ปรากฏว่า นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ได้ขอให้นำญัตติที่ตนได้เสนอไว้เกี่ยวกับนโยบายเรื่องที่จะส่งข้าราชการและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปดูงานที่ต่างประเทศ ขึ้นมาพิจารณา แม้มีผู้คัดค้าน แต่นายกรัฐมนตรี พระยาพหลฯเห็นควรยอมให้เปิดอภิปรายได้
นายทองอินทร์อภิปรายว่า “ในเรื่องที่จะส่งข้าราชการไปดูงานต่างประเทศรวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น คงมีผู้คัดค้านมากมายนักว่า เพื่อประโยชน์ของราษฎรโดยแท้จริง แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นชอบด้วย… เพราะเวลานี้ความเดือดร้อนแก่ประชาชนชั้นหลังนั้นก็มีอยู่มาก เมื่อการเงินของประเทศกระเตื้องขึ้น จะส่งคนเท่าไรๆ ออกไปดูการต่างประเทศก็ไม่น่าจะขัดข้อง… ที่จะใช้ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปดูการต่างประเทศในงบประมาณคนหนึ่ง 2,500 บาทนั้นข้าพเจ้าคิดว่าจะไปกระทำการซึ่งอาจเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของสภาผู้แทนราษฎรและของประเทศสยาม…”ฟังดูคือมีทั้งไม่ควรไป และไปโดยให้ค่าใช้จ่ายน้อยนั้นเสียเกียรติ
พระยาพหลฯ ฟังแล้วคงขัดหูจึงลุกขึ้นชี้แจง “สมาชิกได้เคยพูดว่าอยากได้ตั๋วรถไฟฟรี เพื่อไปดูงานในประเทศ ข้าพเจ้าบอกว่าอย่าว่าจะดูงานในประเทศเลย หากมีเงินแล้วอยากให้ไปดูงานนอกประเทศสมาชิกก็อยากไป เมื่อมีเงินเหลือก็ได้ถามเขาก็ว่าไม่ผิด ข้าพเจ้าก็อยากทำบุญ แต่มันเกิดบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากโปรดล่ะ”
ในการอภิปรายในวันนั้น มีสมาชิกฯที่มาจากการเลือกตั้ง แสดงความเห็นกันไว้หลายนาย เช่น หลวงวรนิติปรีชา ผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร กล่าวว่า “มีหนังสือพิมพ์ได้กล่าวกันว่าไม่จำเป็นที่จะต้องส่งไป เพราะเหตุว่าเป็นการเสียเงินเปล่าๆ…บางฉบับก็บอกว่าไปทำท่อข้างถนนเพื่อไม่ให้ยุงมีในกรุงเทพให้มากขึ้นจะดีกว่าที่จะส่งพวกเราไปนอก” นายสว่าง ศรีวิโรจน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า “มีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าวเสียดสี”
ที่น่าสังเกตคือ นายเลียง ไชยกาล สส.อุบลฯ จังหวัดเดียวกับนายทองอินทร์ กล่าวว่า “ในเรื่องนี้เกิดมีสมาชิกบางคนท่านข้องใจขึ้นมาในข้อที่ว่า ชั้นเดิมดูเหมือนสมาชิกของเราทุกๆท่าน หรือทั่วทุกคนมีความเห็นพร้อมกันที่จะต้องไปอยู่แล้ว มาบัดนี้ทำไมจึงมาตั้งญัตติ คือเปิดอภิปรายโดยทั่วไป เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอเรียนทำความเข้าใจในที่ประชุมนี้ก่อนว่า ในเวลานั้นไม่ได้มีปัญหาว่าเราจะควรไปหรือไม่ เป็นปัญหาที่โยนลงมา เป็นผลเด็ดขาดว่าต้องไป …”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ในเรื่องนี้รัฐบาลตั้งใจจริง คือเมื่อมีเงินเหลืออยู่แล้ว ทางคลังเขาบอกว่าไม่ขัดข้อง …เราก็อยากจะให้ สมาชิกของเราไปเปิดหูเปิดตาดูการสภาของต่างประเทศ และดูกิจการเท่าที่ทำได้…เราจึงแลเห็นว่าเอา ไปดูใกล้ๆคือไปอย่างประเทศญี่ปุ่นนี้ เวลานี้เงินเยนก็ถูกเพราะฉะนั้นก็ควรจะไปได้มากๆ เราจึงได้ขอยื่นญัตติอันนี้ขึ้นมายังสภาฯ “ท่านว่าสภาฯรับญัตติไปแล้ว” แล้วกลับมาเล่นงานกันอย่างนี้ จะว่าอย่างไรกัน ข้าพเจ้าเห็นว่าชอบกลแท้ๆ”
ผู้แทนฯที่อภิปรายนั้นมีไม่เห็นด้วยมากกว่าผู้ที่เห็นด้วยก็จริง แต่จะกล่าวว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็เห็นจะไม่ได้ เพราะเมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 นายวิลาศ โอสถานนท์ ซึ่งเป็นสส.ประเภทที่ 2 เพียงคนเดียวที่ดูจะไม่กลัวใคร ได้ลุกขึ้นมา อภิปรายชี้แจงตามที่มีผู้กล่าวพาดพิงถึงตัวท่านและจากนั้นด้วยความชำนาญที่เคยอยู่สภาฯ มาก่อน ท่านก็ได้เสนอญัตติใหม่ “ข้าพเจ้าขอเสนอญัตติให้ดำเนินระเบียบตามวาระต่อไป” เมื่อนายวิลาศ โอสถานนท์ เสนอญัตติเช่นนี้ แม้จะมีผู้คัดค้านผู้ทำหน้าที่ประธานสภาก็ต้องดำเนินการให้มีการลงมติและผลการลงมติก็ปรากฏว่ามีเสียงถึง 45 เสียงเป็นข้างมากเห็นควรให้ดำเนินการตามวาระต่อไป นั่นก็คือตัดจบเรื่องญัตติที่กำลังอภิปรายนั่นเอง นี่ก็เป็นชั้นเชิงในสภาฯอย่างหนึ่ง ที่เผลอไม่ได้
ความคิดในเรื่องที่จะส่งผู้แทนราษฎรสยาม ไปดูงานที่ต่างประเทศเพื่อจะได้เห็นสิ่งอะไรที่ควรนำกลับมาพัฒนาประเทศได้บ้างนั้นได้เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อ 90 ปีก่อน แต่ก็เถียงกันไม่เบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี