ในโลกกว้างของเราก็ประกอบด้วยประเทศต่างๆ เกือบ 200 ประเทศ และในจำนวนนี้มีประมาณ 20 ประเทศที่ไม่มีกองทัพไว้ป้องกันประเทศด้วยเหตุผล อาทิ ไม่มองเห็นศัตรูที่จะมาคุกคาม ไม่มีความสามารถที่จะป้องกันตนเองอย่างจริงจัง สามารถพึ่งพาความเป็นมิตรของประเทศรอบบ้าน พึ่งพาองค์การสหประชาชาติ พึ่งพาองค์การร่วมมือภูมิภาคมาดูแลแทน และที่สำคัญก็จะได้นำเอางบประมาณที่ไม่ต้องใช้กับกิจการทหารมาสมทบกับงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในด้านการบริการสาธารณสุข การบริการด้านการศึกษา และการพัฒนาระบบขนส่งคมนาคมและสาธารณูปโภค ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าคิดสำหรับประเทศขนาดกลางและเล็กทั้งหลายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนาก็ตาม ว่าควรจะยุบกองทัพหรือปรับเปลี่ยนบทบาทของกองทัพไปเป็นอื่นให้เหมาะสม
สำหรับราชอาณาจักรของไทยเรา กองทัพถือเป็นของคู่บ้านคู่เมืองมาโดยตลอด และได้มีบทบาทอันสำคัญยิ่ง ทั้งในการขับไล่ผู้มารุกราน และการป้องกันดินแดนไปจนถึงการขยายอาณาเขตและอิทธิพล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีและน่าสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็มีข้อกังวลในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของราชอาณาจักรไทยเราในแง่ที่ว่า จะเหมาะสมหรือไม่อย่างไรที่ฝ่ายกองทัพจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของประเทศอยู่เสมอ? อีกทั้งราชอาณาจักรไทยเป็นสมาชิกขององค์การร่วมมือระดับภูมิภาค 2 องค์การด้วยกัน คือ ประชาคมอาเซียน และความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation – BIMSTEC) ซึ่งมีนัยว่าเป็นการร่วมมือเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและเสริมสร้างความเจริญมั่งคั่งมั่งมีร่วมกัน และฉะนั้นการมีกองกำลังทัพหันหน้าเข้าหากันข้ามเขตแดนก็ดูแปลกและดูมีความผิดปกติชอบกลๆ อยู่
ในการนี้ก็เป็นไปได้หรือไม่ว่า ราชอาณาจักรไทยเราและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายที่เป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนบ้าง และเป็นสมาชิก BIMSTEC ไปบ้าง จะได้มาร่วมกันทบทวนบทบาทของกองทัพและปรับเปลี่ยนบทบาทให้เหมาะสม เพื่อจะได้ตัดทอนงบประมาณค่าใช้จ่าย แล้วนำไปใช้กับการพัฒนาสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มความมั่นคงและคุณค่าให้กับการดำรงชีวิต
ประเด็นข้อพิจารณาก็อาจจะมี อาทิ
1.การจัดตั้งกองกำลังร่วมตลอดแนวชายแดน เพื่อร่วมกันรักษาความมั่นคงปลอดภัย เพื่อการขจัดและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติทุกประเภท โดยให้มีการลาดตระเวนร่วมกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่เป็นตัวช่วยและสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ก็ต้องเร่งรัดการเจรจาปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก
2.การปรับลดกำลังพลทหารให้มาเป็นกองกำลังรักษาดินแดน หรือความมั่นคงปลอดภัยและสงบสุขภายใน โดยการยุบรวมฝ่ายตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาด้วย
3.การจัดตั้งกองทัพไทยกันใหม่ด้วยหลักการบูรณาการ การป้องกันประเทศแบบผสมผสานระหว่าง 3 เหล่าทัพ โดยมีการโยงใยกับประเทศพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง โดยคำนึงว่าขีดความสามารถของฝ่ายไทยมีจำกัด
4.การจัดกำลังทัพแบบผสม ส่วนหนึ่งเพื่อเข้าร่วมในกิจการส่งเสริมและรักษาสันติภาพภายใต้ธงสีฟ้าขององค์การสหประชาชาติ เป็นต้น
ในการนี้ก็คงต้องมีการระบุในกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นที่แน่ชัดว่า ฝ่ายกองทัพถูกห้ามมิให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ก็มีหลักคิดทางการเมืองที่เป็นของไทยแท้ๆ ว่าด้วยเรื่องการยื่นถวายฎีกา ซึ่งมีนัยว่า ไม่มีผู้ใดหรือกลุ่มใดจะทำการใดๆ โดยพลการได้ เพราะ
ราชอาณาจักรไทยเรามีองค์พระประมุข
ในประวัติศาสตร์โดยทั่วไป ทหารกับพลเรือนนับเป็นคนคนเดียวกัน และฉะนั้นทุกคนก็มีสิทธิพลเมืองและมีหน้าที่พลเมือง ทั้งในการป้องกันประเทศและทำนุบำรุงประเทศ ซึ่งก็มีนัยว่าราชอาณาจักรไทยสามารถมีกองทัพที่กะทัดรัดและเหมาะสมต่อภารกิจได้ โดยมีประชาชนพลเมืองเป็นกองทัพหนุน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี