นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก“Nantiwat Samart”เมื่อวันที่ 12 มีนาคมเมื่อวานนี้ โดยจั่วหัวเรื่องว่า“What to be done!”
เนื้อหาที่สื่อความในกระทู้นี้ บรรยายว่า “เจอผู้คนจำนวนมากถามว่า เมื่อไหร่จะจบ ถามกลับว่า อะไรจบคำตอบที่ได้คือ เบื่อมากแล้ว อยากให้รัฐบาลนี้ไปไวๆ อะไรๆ มันแย่ไปหมด ตลาดเงียบมาก หุ้นตกแล้วตกอีกมันจะ ฉห.แล้ว คำตอบที่ให้ไป อาจจะออกแนวซาดิสม์นิดๆ ให้เขาอยู่นานๆ เอาให้ช้ำ เอาให้สุดๆไปเลยอะไรจะเกิดให้มันเกิด ให้เศรษฐกิจล่มให้สุด ไม่งั้นไม่มีบทเรียนให้คนที่เลือกคนพวกนี้อย่าให้ทหารยึดอำนาจ ถ้าจะเปลี่ยนแปลง ขอให้เป็นการปฏิวัติของประชาชน”
ถ้าพูดอย่างไม่มีอคติ ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล ทุกอย่างมีแต่แย่ลง ทั้งปัญหาการเมืองเศรษฐกิจ และสังคม เพราะพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำของรัฐบาลชุดนี้ มุ่งแต่แสวงประโยชน์อันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของตนเองเป็นหลัก คือการ“สร้างคะแนนนิยม”
โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เหมือนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต ซึ่งมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น โครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยในยุคนี้จึงเป็นโครงการที่มาจาก“นโยบายประชานิยม”เพื่อหาคะแนนนิยม สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปซึ่งจะต้องชนะการเลือกตั้ง สส.แบบ“แลนด์สไลด์”ให้ได้หลังจากพ่ายแพ้พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
เรื่องตลาดเงียบมากนั้น คงไม่ต้องพูดถึง เพราะประชาชนคนไทยทุกคนประสบปัญหาโดยตรงอยู่แล้วซึ่งสวนทางกับที่รัฐบาลพยายามจะปฏิเสธ และที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่“ลด-แลก-แจก-แถม” ใส่เงินงบประมาณแผ่นดินแบบล้างผลาญโยนลงไปแล้วก็หายเงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนื่องจากไม่ใช่การลงทุนของภาครัฐ แต่เป็นการแจกเพื่อหาคะแนนนิยมโดยใช้เงินภาษีอากรของประชาชนแจก อีกทั้งยังเป็น“เงินแห่งอนาคต”ที่ต้องกู้มาแจก เช่นการแจกเงิน 1หมื่นบาทตามโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต” เป็นต้น
สำหรับตลาดหุ้นนั้น ถ้านับต่อจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2566 ผ่านรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2567 จนมาถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ในปัจจุบัน ต้องถือว่าอยู่ในสภาพวิกฤตโดยวัดจากสถิติของดัชนีหุ้นไทย ที่ถึงจุดสูงสุด ณ วันที่ 9 มกราคม 2566 สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งปิดที่1,691.62 จุด และผ่านรัฐบาลเศรษฐากระทั่งมาถึงรัฐบาลแพทองธารล่าสุดในวันที่ 10มีนาคมเมื่อสามวันที่ผ่านมา ปิดที่ 1,177.44 จุด เท่ากับลดลงจากจุดสูงสุดกว่า 30.39 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมทั้งหมดนั้น 2 ปีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 2 คนนั้น ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนใดๆที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างแท้จริงจะมีก็แต่ราคาคุยจากอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้“ชักใย”บุตรสาวและเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงซึ่งอยู่นอกรัฐธรรมนูญของประเทศนี้ในฐานะผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มักจะพูด“ยกหาง”และอ้างบุตรสาวของตนบังหน้าอยู่เสมอ
โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช “ทักษิณ ชินวัตร”ให้สัมภาษณ์สื่อเหมือนกับเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง แต่อ้าง“มาดามแพทองโพย”บุตรสาวว่า“วันนี้นายกรัฐมนตรีทำงานหนัก วันก่อนก็ไปส่องดูว่าทำไมงานมันถึงไม่ออกก็พบว่ายังมีเงินค้างท่อในระบบงบประมาณจำนวนมาก โดยที่ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินก็ผลักดันออกไปได้เศรษฐกิจก็มีโอกาสจะเติบโตได้ ดังนั้นจากนี้ไปนายกฯจะผลักดันให้เงินออกสู่ประชาชนให้มากที่สุดเพื่อให้เศรษฐกิจมันฟื้นโดยเร็ว”
ปรากฏว่าพอสิ้นเสียงของ“ทักษิณ ชินวัตร” หลังจากนั้นอีกสองวัน โดยในวันที่ 3 มีนาคมก่อนที่“มาดามแพทองโพย”จะบินลัดฟ้าไปเฉิดฉายถลุงเงินหลวงเล่นที่สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี“มาดามแพทองโพย”นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ก็ได้เรียกนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งภายหลังการหารือนายกรัฐมนตรีไอแพดผู้นี้ ก็ได้ทวิตข้อความผ่าน X และโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กพร้อมภาพขณะนั่งพูดคุยหารือกับนายพิชัย โดยมีข้อความระบุเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานระยะสั้น-กลางของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้“GDP”ขยายตัว 3-3.5 เปอร์เซ็นต์
และหนึ่งในมาตรการต่างๆ ที่เธอกล่าวถึงนั้น ก็มีเรื่อง“เงินค้างท่อในระบบงบประมาณ”ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร”พูดไว้ล่วงหน้าที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่ามีเป็นจำนวนมากโดยเนื้อหาที่“มาดามแพทองโพย”โพสต์ในเฟซบุ๊กได้ระบุถึงเงินงบประมาณก้อนนี้ว่า“จะเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ กองทุนต่างๆ ซึ่งมีเงินค้างอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท”
จะอะไรก็ตามแต่ อย่างที่กล่าวตอนต้น ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล ทุกอย่างมีแต่แย่ลงเพราะมุ่งแต่จะ“สร้างคะแนนนิยม”จากโครงการประชานิยม ที่เห็นชัดๆในวันนี้ก็คือโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”เฟสสามที่จะแจกให้แก่กลุ่มผู้มีอายุ 16-20 ปี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านคน
ในจำนวน 2.7 ล้านคนนั้น ส่วนใหญ่เป็นฐานคะแนนของพรรคประชาชนซึ่งถ้ามีการยุบสภาฯเลือกตั้งวันไหนอย่างน้อยพรรคเพื่อไทยก็ยังมีความหวังว่าจะแชร์ส่วนแบ่ง“ทางการตลาด”จากพรรคประชาชนกลับคืนมาได้
เมื่อมารวมกับบ่อนกาสิโน และการพนันออนไลน์ที่จะนำขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย หากทำสำเร็จพรรคเพื่อไทยก็ยังจะได้ส่วนแบ่งจากฐานเสียงของประชาชนกลุ่มนี้ที่ถูกมอมเมาด้วย“การพนัน”เพิ่มขึ้นอีกด้วย และรวมไปถึง“ผีพนัน”ในกลุ่มอายุต่างๆ ที่เสพติดการพนันอยู่แล้วในเวลานี้
สรุปแล้ว ผมก็เห็นด้วยกับท่านอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ คือ“เอาให้ช้ำ เอาให้สุดๆไปเลย อะไรจะเกิดให้มันเกิด ให้เศรษฐกิจล่มให้สุด”
ยามนี้ก็ได้แต่ฮำเพลงสากล“Whatever Will Be Will Be” ที่ Doris Day ขับร้องรอไปก่อน หรือไม่ก็เพลง“สุดๆไปเลย”ของวง“นูโว” และเมื่อถึงวันนั้น-ใครจะ “ฉห.”ก็ต้องคอยดูกัน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี