เรื่อง“ความซื่อสัตย์สุจริต” ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตก-ไม่รับคำร้องนั้น
อันที่จริงแล้ว คำว่าซื่อสัตย์สุจริต สำหรับสังคมไทย ไปถามเด็กชั้นประถมดูก็คงจะได้คำตอบ หรือแม้แต่เราเกิดมาตั้งแต่จำความได้ พ่อแม่ปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอา ก็สอนลูกสอนหลานในครอบครัวของตนทุกคนอยู่แล้วว่า ให้ประพฤติตนซื่อสัตย์สุจริต ไม่ให้ไปคดโกงใคร
สุภาษิตของไทยที่ว่า“ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” อันหมายถึง การทำความดี มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ก็เป็นสำนวนที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมไทยใช้สอนลูกสอนหลานกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะมีก็แต่ครอบครัว“ขี้โกง”หรือ“โคตรโกง-โกงโคตร”เท่านั้นที่ไม่สอนลูกหลานของตน
ขณะเดียวกัน คำสั่งสอนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตนั้น ก็ซึมเข้าไปจนกลายเป็น“สำนึก” และตระหนักรู้ว่า การทำดีประพฤติดีนั้น จะไม่เกิดความเดือดร้อนทั้งแก่ตัวเราเองและผู้อื่น
แต่ถ้าหากมีสันดานคดโกงโดยไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย เมื่อไปคดโกงใคร หรือไม่ซื่อตรงไม่ซื่อสัตย์กับใคร วันหนึ่งเมื่อถูกจับได้ หรือความชั่วนั้นปรากฏ ก็จะเกิดความเดือดร้อนแก่ตัวผู้ประพฤตินั้น ซึ่งนอกจากจะมีคุกมีตะรางรออยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ เว้นแต่คนในสังคมหรือหมู่คนที่มีดีเอ็นเอหรือสันดานดียวกันเท่านั้นที่ยอมรับกันได้
ยิ่งถ้าเป็นพุทธศาสนิกชน เวลาเข้าวัดเข้าวาทำบุญ พระท่านก็สอน หรือแม้แต่ศีลห้าก็เป็นตัวกำกับให้ผู้ที่รับศีลรับพรประพฤติปฏิบัติอยู่แล้ว ว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ถือว่าเป็นคาถาอันเป็นมงคลที่จะคอยปกป้องคุ้มกันภยันตรายใดๆ ให้แก่ตัวเรา
แปลกแต่จริง ที่คณะรัฐมนตรีโดยพรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยนิยามของความ "ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" ตามที่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง”ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ คือฉบับปี พ.ศ.2560 อันเป็น“คุณ”กับประชาชนคนไทย แต่เป็น“โทษ”กับ สส.และนักการเมืองและพรรคการเมืองของบ้านเราส่วนใหญ่ที่ขี้โกง
และก็ด้วยเหตุดังนั้น จึงทำให้ สส.พรรคเพื่อไทย และ สส.พรรคประชาชน กระเหี้ยนกระหือรือที่จะฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และยกร่างฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สมประโยชน์แก่ตนให้ได้ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ไม่ได้มาจากประชาชน เพราะประชาชนไม่ได้เป็นคนยกร่าง พร้อมทั้งยังตัดตอนไม่ยอมพูดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติของประชาชนด้วยคะแนนเสียง 16.82 ต่อ 10.59 ล้านเสียง หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ออกมาใช้สิทธิ 61.35 ต่อ 38.65 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ดี คำร้องที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล มือกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นอดีตอธิการบดี และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือพูดง่ายๆ ก็คือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายหรือแปลความหมายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีดังที่กล่าวมานั้น
ประเด็นสำคัญ ก็คือ มาตราเดียวกับที่ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว เพราะไปแต่งตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”ที่ขาดคุณสมบัติ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (4) “ไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และมาตรา 160 (5) “มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
และผลจากการประชุมพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา โดยไม่รับคำร้องเพื่อวินิจฉัย ก็เพราะเห็นว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยตรง ที่จะต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาบุคคลตามหลักนิติธรรมที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็ยังเป็นผู้รับผิดชอบในการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลเป็นรัฐมนตรี และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการอีกด้วย
ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ในกรณีของรัฐบาลชุดนี้ หากจะเสนอชื่อหรือแต่งตั้งใครเข้าไปเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล “มาดาแพทองโพย”นั่นแหละ ที่จะต้องใช้สติปัญญาและความรอบรู้พิจารณาว่า บุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ หรือถ้าสติปัญญามีไม่พอ ก็ย่อมสามารถปรึกษาหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้
นอกจากนี้ ผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญยังชี้ไว้ด้วยว่า “รัฐธรรมนูญนี้ (พ.ศ.2560) วางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง จึงบัญญัติคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ที่จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติสูงกว่าบุคคลที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็เพราะ พรรคเพื่อไทยอยากจะให้ชัวร์ๆ หากประสงค์ที่จะ“ปูนบำเหน็จ”คนที่ยอมทอดตัวรับใช้“นายใหญ่”เข้าไปเป็นรัฐมนตรี แต่มีแผลเหวอะหวะเต็มตัวชนิดที่มีชนักติดหลัง จะได้ไม่สุ่มเสี่ยงทำให้“มาดามแพทองโพย”ต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้เหมือนอย่างที่“เศรษฐา ทวีสิน”โดนมาแล้ว
ทางที่ดีที่สุด “มาดามแพทองโพย” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ควรถามโดยตรงจากผู้มีประสบการณ์เจ้าของฉายา“สทร.”คนใกล้ตัวที่สุด ยังจะง่ายกว่าเสียอีก
ว่า“ซื่อสัตย์”กับ“โกงโคตร”นั้นหมายความว่าอย่างไร ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี