ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่? มาก – น้อยเพียงใด? กับนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน (America First)” ในยุคที่ โดนัลด์ ทรัมป์ หวนคืนทำเนียบขาว ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 ซึ่งรอบนี้ “กำแพงภาษี” หรือมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ไม่ได้มุ่งใช้แต่กับคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ อย่างจีนเท่านั้น แต่ใช้กับทุกประเทศที่ทำมาค้าขายได้ดุลสหรัฐฯ แม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่างแคนาดากับเม็กซิโก ที่เริ่มไปเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ขณะที่ระลอกถัดไปซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ไทยและอีกหลายประเทศ อาทิ เวียดนาม อินเดีย เกาหลีใต้เข้าข่ายเป้าหมายของมาตรการนี้ด้วย
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” หยิบยกมุมมองจากวงเสวนา “Trump 2.0 วิกฤตหรือโอกาสของระบบ ววน.ไทย” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ระดมผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ร่วมวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมหาแนวทางรับมือและมองหาโอกาสใหม่จากการเปลี่ยนแปลงสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในแวดวงวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่า สถานการณ์ Trump 2.0 คือความท้าทายสำคัญที่ระบบ ววน. ไทย ต้องเผชิญ กสว. ในฐานะผู้กำหนดและจัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ของประเทศ เพื่อกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนและจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน จะใช้เครื่องมือการจัดสรรและบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมเสริมพลัง สร้างการรับรู้ และสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดแนวทางร่วมกันในการรับมือกับผลกระทบและสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. ฉายภาพความสำคัญของการเสวนาครั้งนี้ สกสว. ในฐานะหน่วยงานที่ส่งเสริมและขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ ตระหนักดีว่านโยบายระดับโลกย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ การประกาศใช้ “นโยบายการค้าอเมริกามาก่อน” (America First Trade Policy) ย่อมส่งผลต่อการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเทคโนโลยี ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบด้าน
ผศ.ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กสว. ฉายภาพให้เห็นว่า “Trump 2.0 อาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก” จากนโยบายกีดกันทางการค้า การตั้งกำแพงภาษีและการเจรจาต่อรองที่เข้มข้น อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย จีนและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม จีนมีแนวโน้มเพิ่มงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิด “Tech War”ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประเทศที่ปรับตัวได้รวดเร็วเติบโตแบบ K-Shaped Development เท่านั้นที่จะอยู่รอด เพื่อไม่ให้เผชิญภาวะชะลอไทยต้องเปลี่ยนจากตั้งรับเป็นเชิงรุก สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) สร้าง Tech Supply Chain และมองหา New Growth Engine
“AI ความหวังหรือภัยคุกคาม?” ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์กรรมการผู้จัดการ ViaLink และ Siametrics Consulting เตือนว่า หากสหรัฐฯ เกิดการกีดกันด้าน AI ประเทศไทยจะลำบากในการเข้าถึงข้อมูลและและไม่สามารถตามเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยได้ทัน ซ้ำร้ายการใช้ AI แทนแรงงานมนุษย์ก็อาจมีความเสี่ยงที่คนจะตกงานเพิ่มขึ้น
“โครงสร้างพื้นฐานและแรงจูงใจคือหัวใจ” ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชติ สถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มองว่า มาตรการควบคุมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและข้อจำกัดในการเข้าถึงฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ อาจเป็นความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของไทย ในขณะเดียวกัน การเกิด Tech War ก็เปิดโอกาสให้ไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุน จึงต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพิ่มแรงจูงใจด้านภาษี และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของภาค
“WHO ในโลกที่ไร้สหรัฐฯ” ดร.นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียรที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ แสดงความกังวลต่อการถอนตัวของสหรัฐฯ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) และการลดงบสนับสนุนด้านยาและวัคซีน จะส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนา อาจทำให้ไทยเผชิญความท้าทายในการแบ่งปันข้อมูลทางยา เชื้อโรค และการผลิตวัคซีน
“เศรษฐกิจไทยเปราะบางต้องปรับโครงสร้าง” รศ.ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติวิเคราะห์ว่าองค์การการค้าโลก (WTO) อาจไม่เหมือนเดิม เศรษฐกิจไทยอ่อนแอมาโดยตลอด มีปัญหาเชิงโครงสร้างและจะเติบโตช้า มีความเปราะบาง ไม่แน่นอน ซึ่งเศรษฐกิจไทยเติบโตจากอุตสาหกรรมเดิมมาตลอด และถูกบีบจากปัญหาทั้งภายในและนอกประเทศ ประกอบกับหนี้ครัวเรือนสูง คนมีรายได้น้อยก็จะไม่ฟื้นตัวอีก 5 ปี ดังนั้นต้องเน้นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของไทย
“ทฤษฎีอเมริกาใช้ไม่ได้แล้ว” ศ.ดร.สุภางค์ จันทวานิชสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ปัญหาการย้ายถิ่นที่ระหว่างประเทศกระทบกับผู้อพยพ อาชญากรรมข้ามชาติและความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจะได้รับผลกระทบโดยเฉพาะ International Rescue Committee (IRC) ซึ่งไทยมีอยู่ 9 ศูนย์จะต้องดูแลด้วยตัวเองจากนี้ไป จึงถึงเวลาที่นักวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ส่วนใหญ่ที่จบการศึกษาจากอเมริกาปลดปล่อยความคิดจากที่เคยใช้ทฤษฎีของอเมริกามาตลอดนั้น ควรจะพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมต่อประเทศเอง
“สังคมอเมริกากับอุดมการณ์ White Supremacy” ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า นโยบายของไทยที่ควรดำเนินการต่อไปเพื่อรองรับผลกระทบจากอุดมการณ์ White Supremacyควรมุ่งเน้นการวิจัยเชิงระบบ เพื่อพัฒนาระบบราชการ และผลักดันนโยบายให้บรรลุผล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี