การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยฝ่ายค้าน คือการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาล ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่ว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีบางคน หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญของสภาผู้แทนราษฎร และนับเป็นการตรวจสอบรัฐบาลที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด
ผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีหลายรูปแบบ เช่น เมื่อผลสรุปว่าผู้ถูกอภิปรายได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซีกรัฐบาลน้อยกว่าเสียงไม่ไว้วางใจ ก็หมายความว่าผู้ถูกอภิปรายต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือเกิดกับนายกรัฐมนตรี ก็มักจะนำไปสู่การที่นายกรัฐมนตรีประกาศลาออกจากตำแหน่ง และตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาแทนหรือมิฉะนั้น ก็จะพบว่ามีการประกาศยุบสภา
อย่างไรก็ตาม จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่เคยมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งใดที่ปรากฏว่าพรรคฝ่ายค้านจะลงคะแนนแล้วเอาชนะฝ่ายรัฐบาลได้ เพราะเสียงของรัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายค้านเสมอ ดังนั้น การลงมติโดย สส. ในสภาจึงไม่สามารถนำไปสู่การทำให้รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีแพ้กลางสภา แต่ถึงกระนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ยังมีส่วนสำคัญที่นำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี หรือนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรืออาจนำไปสู่การเลือกตั้ง สส. ใหม่ก็ได้
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าผลลัพธ์จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นำไปสู่เรื่องดังต่อไปนี้ คือ ปรับคณะรัฐมนตรี การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือตั้งรัฐบาลใหม่ หรือการเลือกตั้ง สส. ครั้งใหม่ แต่ที่สำคัญอีกประการคือ เป็นการเปิดแผลที่เน่าเฟะของรัฐบาล เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และลดคะแนนนิยมทางการเมืองลง
แต่แน่นอนว่ารัฐบาลทุกชุดมักไม่ค่อยชื่นชอบการถูกเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมองว่าการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจคือการเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านนำเรื่องเลวร้ายของรัฐบาลมาประจานกลางสภา และประจานต่อสาธารณชนไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น ทุกรัฐบาลจึงบ่ายเบี่ยง เลี่ยงหลบ และหลบหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วถ้าหากรัฐบาลชุดไหนที่สามารถทำให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ก็มักจะทำ
ในเชิงการเมืองเราจะพบว่ามีกลไกประหลาดที่ฝ่ายรัฐบาลมักจะตั้งแง่ หรือมีเล่ห์เหลี่ยมสารพัดเพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายได้โดยง่าย หรือหากหนีไม่พ้นจริงๆ ก็ต้องสร้างเรื่องตีรวนฝ่ายค้านตลอดเวลาการอภิปราย โดยตั้งองครักษ์ หรือสมุน หรือขี้ข้าขึ้นมาตีรวนฝ่ายค้าน เพื่อไม่ให้อภิปรายไม่ไว้วางใจได้สะดวก นอกจากนี้รัฐบาลบางยุคก็หนีอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างสุดชีวิต เช่น รัฐบาลยุคทักษิณ ชินวัตร แต่ก็มีบางรัฐบาลที่สร้างกลไกประหลาดขึ้นมาเพื่อหลบเลี่ยงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เช่น รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมีการเล่นเกมการเมืองโดยกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ต่อให้ สส. ฝ่ายค้านจะลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล (หมายถึงนายกรัฐมนตรี) ก็ตาม แต่สุดท้าย สว. ก็ยังมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลประยุทธ์ก็ยังเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ และยอมให้ฝ่ายค้าน (พรรคเพื่อไทย) เลือกวันอภิปรายได้ตามใจชอบ โดยที่รัฐบาลไม่มีปัญญาคัดค้านหรือทัดทานได้
แต่มีรัฐบาลชุดหนึ่งที่ไม่ยอมให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นคือรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทักษิณไม่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจคือ เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดว่า การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ต้องใช้เสียง สส. 2 ใน 5 แต่การเปิดอภิปรายรัฐมนตรี ต้องใช้เสียง สส. 1 ใน 5
แต่ปัจจัยสำคัญยิ่งกว่าข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญคือ ทักษิณใช้กลอุบายดึงพรรคการเมืองอื่นๆ เข้าเป็นรัฐบาล ดังพบว่า ในการเลือกตั้งนั้น พรรคการเมืองของทักษิณได้ สส. จริงๆ คือ 248 คน แต่สุดท้ายทักษิณใช้การดึงดูดเอา สส. จากพรรคการเมืองอื่นๆ เข้าไปร่วมเป็นรัฐบาล จนได้เสียง สส. 339 คนแล้วยังใช้กลอุบายควบรวมพรรคการเมืองอื่นๆเข้ากับพรรคไทยรักไทย จนสุดท้ายมี สส. ซีกรัฐบาลรวมทั้งหมด 366 คน
แต่ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ก็พบว่าพรรคการเมืองของทักษิณที่ใช้กลอุบายควบรวบพรรคการเมือง สามารถกวาดที่นั่ง สส. ได้มากถึง 377 คน จากจำนวน สส. ทั้งสภาคือ 700 คน นั่นหมายความว่าพรรคการเมืองของทักษิณได้ สส.เกินครึ่งของสภา ทำให้ปิดโอกาสการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไปได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แถมยังพบอีกว่าพรรคการเมืองของทักษิณยังสามารถใช้คะแนน สส.ในส่วนของตนแก้รัฐธรรมนูญได้แบบสะดวกดาย เพราะมีจำนวน สส. ในสภาเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมด
นั่นคือกลอุบายที่ทักษิณใช้เพื่อหลบเลี่ยงการถูกเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพรรคฝ่ายค้าน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าทักษิณไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มาถึงยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ทักษิณไม่มีตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกฎหมาย แต่ถึงกระนั้นทักษิณก็ยังคงแสดงบทบาทผู้มีอำนาจรัฐอย่างโจ่งแจ้งเป็นประจำ โดยอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองนายกรัฐมนตรี และยังทำหน้าที่ สทร. (เสือกทุกเรื่อง)
แต่ทักษิณก็ยังคงมีความกลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเช่นเดิม แม้จะเปิดตัวว่าเป็น สทร. แต่ก็อ้างว่าตนเองไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาล ดังนั้น ฝ่ายค้านจึงไม่สามารถเปิดอภิปรายตัวของทักษิณได้
นับว่าเป็นความย้อนแย้งอย่างที่สุด เพราะการประกาศตัวเป็น สทร. แต่กลับกลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องนี้นับว่าแสดงให้เห็นถึงความไม่กล้าหาญอย่างชัดเจน เพราะเมื่อกล้าประกาศตัวเป็น สทร. ก็คือการประกาศตัวว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจการเมืองอย่างเปิดเผย แต่ก็ยังคงขลาดหวาดกลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
คอการเมืองไทยทุกคน และรัฐมนตรีทุกคน รวมถึงฝ่ายค้านทุกคนต่างรู้ดีว่า แพทองธาร ชินวัตรคือนายกรัฐมนตรีหุ่นกระบอกที่ถูกทักษิณเชิดตลอดเวลา แต่แม้ แพทองธาร จะอ้างว่าไม่กลัวการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แถมยังพูดประมาณว่าท้าทายให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเวลายาวนานนับเดือนก็ยังได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงคำพูดลอยๆ ของ แพทองธาร เท่านั้น เพราะลึกๆ แล้วแพทองธารก็หวาดกลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือ แพทองธารรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วทักษิณจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกลากไปอยู่ในประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาอย่างแน่นอน โดยทักษิณยังคงอ้างด้วยความหวาดกลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า จะอภิปรายตนเองได้อย่างไร เพราะตนไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล แต่ทักษิณตั้งใจลืมประเด็นที่ว่าตนเองประกาศว่าเป็น สทร.
อย่าลืมว่า สทร. ที่ทักษิณประกาศนั้น มันหมายถึงเสือกทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นงานในตำแหน่งหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีคนใดก็ตาม ดังนั้น เมื่อประกาศว่าตนเองเป็น สทร. ทักษิณก็ต้องไม่กลัวการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอ้างว่าตนเองไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล แต่ทำตัวเป็น สทร. มันคือการประกาศว่าตนเองต้องการมีอำนาจเหนือรัฐบาล แต่ก็ยังกลัวถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แบบนี้มันคือความย้อนแย้งและยังประกาศให้เห็นถึงความขลาดหวาดกลัว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี