การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เห็นว่าจะมีปมทักษิณ รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ
ไปแล้วไม่ยอมกลับโรงพยาบาลราชทัณฑ์
มีพระบรมราชโองการอภัยลดโทษจำคุก เหลือ 1 ปี แต่ทักษิณออกไปอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ยาวจนพักโทษไปอยู่บ้าน และพ้นโทษในที่สุด
ตอนออกไป รพ.ตำรวจไม่ว่า แต่มีเหตุผลอะไรที่ไม่ถูกกลับมา
สงสัยว่า การไปรักษาตัวบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่ต้องรับโทษจำคุก คดีทุจริตประพฤติมิชอบ จะได้รับความช่วยเหลือจากใครคนไหน และอย่างไรบ้าง?
1. ป.ป.ช.ไต่สวน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยืนยันว่า ตนเป็นคนที่มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่ง ป.ป.ช.ก็เคยเชิญตนไปให้การ และได้ทราบว่ายังไม่มีการไปตรวจที่เกิดเหตุ จึงย้อนถามกลับไปว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตนพูดมีน้ำหนักแค่ไหน พูดจริงหรือเท็จ สิ่งที่ตนให้การไว้ตรงกับในที่เกิดเหตุหรือไม่โดยการไปตรวจที่เกิดเหตุจริงๆ แล้วต้องไปทันที ไม่เช่นนั้นสิ่งต่างๆ จะลบเลือนไป เหมือนอุบัติเหตุรถชนกัน ตำรวจเมื่อรับแจ้งแล้วก็ต้องไปที่เกิดเหตุทันที เพราะเมื่อเวลาผ่านไปมีรถวิ่งไป - มา พยานหลักฐาน เช่น เศษกระจก เศษสี ก็จะหายไป แต่เรื่องนี้เนิ่นช้ามาหลายเดือน
จากนั้น มีหนังสือแจ้งมา บอกว่าจะไป รพ.ตำรวจ วันที่ 7 มี.ค.2568 นัดหมายเวลา 11.00 น. เมื่อไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.มารอรับ ตนก็พาไปดูตั้งแต่จุดที่นัดหมายกับทีมงานของนายทักษิณ เวลาจะไปเยี่ยม ซึ่งเป็นที่จอดรถชั้นใต้ดิน ก่อนจะพาไปขึ้นลิฟต์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ต้องหลบสายตาจากผู้คน วันที่ไปเยี่ยมนายทักษิณ ทีมงานใช้วิธีพาขึ้นลิฟต์จากตัวนั้นไปตัวนี้ จนถึงชั้น 12 แล้วจึงเดินขึ้นบันไดหนีไฟต่อไปยังชั้น 14 ซึ่งบันไดหนีไฟก็อยู่ภายในตัวอาคาร
ในเบื้องต้น แจ้งทาง ป.ป.ช.ไปว่าให้ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 12 แล้วพาไปดูบันไดหนีไฟพาเดินขึ้นบันไดหนีไฟผ่านชั้น 13 ไปถึงชั้น 14 ตามที่ได้ให้การไว้ เมื่อไปถึงชั้น 14 ด้านหลังจะอยู่ทาง รร.เอราวัณ ห้องพักของนายทักษิณจะอยู่ริมสุดของอาคารและอยู่ติดถนน
โดยจากจุดที่ขึ้นไปถึงชั้น 14 ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องที่นายทักษิณพักรักษาตัว
ส่วนด้านขวามือจะเห็นห้องรับแขก
ตนก็ต้องชี้สถานที่เกิดเหตุโดยเริ่มจากการไปเยี่ยมนายทักษิณครั้งแรก คือที่ห้องรับแขก ซึ่งปกติแล้วห้องแบบนี้จะแบ่งกัน ห้องหนึ่งให้ผู้ป่วยนอน อีกห้องเป็นที่พักของญาติผู้ป่วย
โดยในห้องรับแขกที่ตนเคยไปนั่งรอนายทักษิณ ในภาพรวมยังเหมือนเดิม แต่มีรายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนไปบ้าง เช่น การจัดวางโต๊ะ - เก้าอี้ สักพักนายทักษิณก็เดินมาจากห้องที่ถูกระบุว่าเป็นห้องพักผู้ป่วย
ซึ่งดูแล้วสภาพเหมือนคนไม่ป่วย
สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ
จากนั้น ก็พูดคุยกันเรื่องบ้านเมืองบ้าง คดีความบ้าง ชีวิตความเป็นอยู่บ้างซึ่งในการพาชี้จุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะบันทึกภาพตามที่ตนให้การ เช่น ตนนั่งตรงไหน นายทักษิณนั่งตรงไหน แต่เมื่อจะไปห้องที่นายทักษิณเคยนอนพักรักษาตัว ทาง รพ.ตำรวจ กลับแจ้งว่ามีผู้ป่วยรายอื่นอยู่
“ห้องรับแขกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ห้องที่คุณทักษิณนอนป่วยจริงๆ จะไปให้เขาดูสภาพห้องเป็นอย่างไร ห้องพักรักษาตัว มีเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์มาก -น้อยแค่ไหน ห้องรับแขกเป็นอย่างไร ติดสนามม้า ชมวิวดูม้าแข่งได้ไหม อะไรอย่างนี้” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
หากในวันดังกล่าวสามารถเข้าไปในห้องที่ถูกระบุว่านายทักษิณเคยนอนพักรักษาตัว จุดสำคัญคือจะได้เห็นว่าตรงกับที่ตนเคยให้การไว้หรือไม่
กรณีตนไปเยี่ยมนายทักษิณครั้งที่ 2 ครั้งนี้นายทักษิณชวนตนออกจากห้องรับแขกเข้าไปที่ห้องพัก แต่ห้องพักนั้นก็จะแบ่งเป็น 2 ห้องย่อยอีกเช่นกัน
ห้องหนึ่ง ตนไม่กล้าละลาบละล้วงเข้าไปด้วยมารยาท
แต่อีกห้องที่ให้ญาติผู้ป่วยได้พักหรือเป็นห้องเตรียมอาหารดูแล ตนได้เข้าไปในห้องนี้ หากได้เข้าไปดูก็จะได้เห็นว่าอยู่ติดสนามม้าจริงหรือไม่ หรือมีขนาดใหญ่จริงหรือไม่
เพราะห้องอีกฟากหนึ่งซึ่งใช้เป็นห้องรับแขก เมื่อตนไปเยี่ยมนายทักษิณครั้งแรก จะอยู่ใกล้กับทางหนีไฟภายในอาคาร ในขณะที่ห้องฟากที่นายทักษิณอยู่จะไม่มีทางหนีไฟ ห้องจึงมีขนาดกว้างกว่า หรือห้องที่ติดสนามม้าจะเป็นห้องกระจก นายทักษิณก็พาตนไปนั่งคุยกันริมกระจกนั้น ซึ่งสามารถมองเห็นสนามม้า เพียงแต่วันดังกล่าวไม่มีม้าแข่ง ทีมงานของนายทักษิณนำกาแฟและข้าวเหนียวมะม่วงมาเสิร์ฟ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ก็ต้องไปดูว่าจริงอย่างที่ตนให้การไว้แบบนี้หรือไม่
นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ในเมื่อ ป.ป.ช. เรียกตนและบุคคลต่างๆที่เคยไปเยี่ยมนายทักษิณ ก็ต้องเรียกครอบครัวนายทักษิณด้วย ต้องเรียก 10 คนนั้นไปให้ปากคำด้วย ดูว่าจะให้การอย่างไร จะได้ปรากฏอยู่ในสำนวน จะได้รู้ว่าตนหรือทางนั้นโกหก
2. กสม.
รายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น
บางตอนระบุชัดเจนว่า “ไม่อาจเชื่อได้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยจนต้องรักษาตัวนาน 181 วัน”
ความเห็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุดังนี้
“5. กรณีผู้ถูกร้องที่ 2 รับตัวนายทักษิณไว้รักษาที่ห้องพักชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า
5.1) การที่นายทักษิณเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการวิกฤตซึ่งในช่วงแรกเข้าพักที่ชั้น 14 เนื่องจากขณะนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 ให้ข้อมูลว่าเป็นเพียงชั้นเดียวที่มีห้องว่าง แต่หลังจากนั้นปรากฏว่า นายทักษิณยังพักที่ห้องดังกล่าวมาโดยตลอด โดยผู้ถูกร้องที่ 2 ชี้แจงว่า นายทักษิณมีภาวะวิกฤตสลับปกติ จึงมีข้อสังเกตว่า หากนายทักษิณป่วยจนอยู่ในระดับวิกฤตตามที่ชี้แจงจริง ก็ควรต้องได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน แต่นายทักษิณกลับพักในห้องพิเศษซึ่งตามปกติมีไว้สำหรับผู้ป่วยที่พ้นจากภาวะวิกฤตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว
5.2) กรมราชทัณฑ์แจ้งว่าไม่สามารถทราบได้ว่ามีผู้ต้องขังป่วยคนใดบ้างที่เข้าพักรักษาตัวในห้องพิเศษ เนื่องจากกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ไม่ได้กำหนดให้เรือนจำที่ส่งตัวหรือสถานพยาบาลที่รับตัวผู้ต้องขังไว้ต้องรายงานให้ทราบ ทั้งที่กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากมีผลทำให้ผู้ต้องขังรายใดรายหนึ่งอาจได้รับสิทธิที่ดีกว่าผู้ต้องขังอื่นๆ ที่มีอาการป่วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอดีตผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่อาจได้รับการดูแลแตกต่างหรือเป็นพิเศษมากกว่าผู้ต้องขังทั่วไป
5.3) ด้วยเหตุนี้จึงเห็นว่า การที่ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันในการดูแลสุขภาพและให้การรักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่มีอาการป่วย กำหนดให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของผู้ถูกร้องที่ 2 อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ถูกร้องที่ 1ไม่ได้โต้แย้งจนกระทั่งนายทักษิณได้รับการปล่อยตัวพักโทษและออกจากผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นการดำเนินการโดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำพ.ศ. 2563 ทำให้นายทักษิณได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
6. สำหรับกรณีผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 อนุญาตให้นายทักษิณพักรักษาตัวเป็นระยะเวลานานนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของนายทักษิณจากผู้ถูกร้องทั้งสองซึ่งอ้างว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากนายทักษิณในฐานะเจ้าของข้อมูลเสียก่อน ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ตาม หากนายทักษิณ มีอาการป่วยอยู่ในภาวะวิกฤตสลับปกติจริงตามที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ชี้แจง ก็ควรได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและพักในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินตามที่ได้มีความเห็นไว้แล้วในข้อ 5
นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นวันที่นายทักษิณสามารถออกจากการควบคุมของผู้ถูกร้องที่ 1 ตามโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษของกรมราชทัณฑ์ นายทักษิณสามารถเดินทางออกจากผู้ถูกร้องที่ 2 กลับบ้านพักส่วนตัวได้ในทันทีโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลแห่งอื่นอีก รวมทั้งสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ และปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ปรากฏว่ามีอาการเจ็บป่วยรุนแรงอันผิดปกติวิสัยของผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตจนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุผลในการพักรักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 มาโดยตลอด
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงและเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงยังมิอาจเชื่อได้ว่านายทักษิณมีอาการป่วยจนถึงกับต้องรักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 นานถึง 181 วัน โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือกลับไปคุมขังต่อที่ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้
ในชั้นนี้ จึงเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งองค์การสหประชาชาติ ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่มุ่งคุ้มครองความเสมอภาคของบุคคล
จึงถือว่าเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เห็นควรเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป...”
3. มีการยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเอาผิดผู้เกี่ยวข้องกับการเลือกปฏิบัติเอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณโดยมิชอบไว้แล้ว
หลักฐานที่นำมาใช้ประกอบในการร้องเรียนเรื่องนี้ คือ ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นั่นเอง
ขณะนี้ แพทยสภา อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
น่าสนใจว่า ผลการตรวจสอบของแพทยสภาจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมี.ค.นี้ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้าหรือไม่?
ข้อมูลจากการตรวจสอบจรรยาบรรณแพทย์ในกรณีชั้น 14 รวมถึงเวชระเบียน และการรักษาต่างๆ ย่อมสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาของ ป.ป.ช.ได้ด้วย
4. เชื่อว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯอุ๊งอิ๊งค์และ สทร. โดยจะมีปมชั้น 14 ด้วยนั้น
คะแนนเสียงในสภา คงไม่อาจไม่ไว้วางใจนายกฯได้
แต่รอลุ้นผลการพิจารณาของ ป.ป.ช.
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี