อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต ถูกจับกุมไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในสงครามกับยาเสพติด
ทำให้เกิดคำถามว่า กรณีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่เคยดำเนินนโยบายสงครามยาเสพติดในบ้านเรา มีลักษณะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
1.อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ดูเตอร์เต ถูกจับกุมตามหมายจับศาลอาญาระหว่างประเทศ คาสนามบินฟิลิปปินส์ ก่อนส่งตัวขึ้นเครื่องบินไปกรุงเฮก (เนเธอร์แลนด์) ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ICC ศาลอาญาระหว่างประเทศ
แม้ฟิลิปปินส์จะถอนตัวออกจากศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว แต่ ICC ยืนยันว่ามีเขตอำนาจศาลอยู่ เพราะการกระทำสงครามยาเสพติดเกิดขึ้นในช่วงที่ฟิลิปปินส์ยังไม่ถอนตัว
ข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ สืบเนื่องจากการฆาตกรรมในระหว่าง “สงครามปราบปรามยาเสพติด”
ช่วงปี 2559 ถึง 2565 ประชาชนหลายพันคน ถูกตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐสังหารในนาม “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ของรัฐบาล
โรดริโก ดูเตอร์เต ประกาศหาเสียง ใช้วาทกรรมดุเดือด อาทิ “ลืมกฎหมายและสิทธิมนุษยชนไปซะ ถ้าผมได้เข้าทำเนียบประธานาธิบดี ผมจะทำแบบเดียวกับตอนที่ผมเป็นนายกเทศมนตรี เจ้าพวกที่วันๆ ไม่ทำอะไร ทำแต่ปล้นชิง ค้ายาเสพติด รีบหนีเสียดีกว่า เพราะผมจะฆ่าพวกคุณ”
“ผมพูดว่า มาฆ่าอาชญากรวันละ 5 คนกันเถอะ พวกมันจะได้ถูกกำจัดไปจนหมด”
ในสงครามกับยาเสพติดของดูเตอร์เต ตำรวจสังหารผู้ต้องสงสัยหลายพันคน อ้างว่าเป็นการยิงต่อสู้กัน
ผู้ตายจำนวนมากถูกพันธนาการทิ้งศพราวไม่ใช่มนุษย์
แต่คะแนนนิยมของดูเตอร์เตดีขึ้น เป็นการฆ่าที่ทำให้ประชาชนพึงพอใจ
ว่ากันว่า มีผู้ต้องสงสัยถูกสังหารในช่วงสงครามยาเสพติดกว่า 6 พันคน
อัยการของ ICC ระบุว่า อาจมีคนตายกว่า 30,000 ราย ที่ในสงครามยาเสพติด ในจำนวนนี้เป็นเด็กด้วย
2.สงครามยาเสพติดในยุครัฐบาลทักษิณ
สงครามยาเสพติดยุครัฐบาลทักษิณ ทำให้เกิดการฆาตกรรมผู้คนไปกว่า 2,500 คน ในช่วงเวลา 3 เดือน ก.พ.-เม.ย. 2546
ส่วนใหญ่ไม่ใช่พ่อค้ายาเสพติดแต่อย่างใด
ที่สำคัญ หลังช่วงสงครามยาเสพติด พ่อค้ายารายใหญ่ก็ยังอยู่ สะท้อนชัดเจนว่าไม่ได้ผลจริง
นโยบายยุคนั้น มีการบังคับ กดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้ต้องทำยอด ด้วยการลดรายชื่อบุคคลในบัญชีดำของทางการให้ได้
โดยนโยบายรัฐบาลทักษิณให้ถือเอายอดการเสียชีวิตของบุคคลในบัญชีดำ ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีการใดๆ เป็นหนึ่งในผลงานได้ด้วย
การขึ้นบัญชีดำของทางการในขณะนั้น มีความบกพร่องร้ายแรง
พ่อค้ายาบางรายไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ แต่คนมีชื่ออยู่ในบัญชีดำจำนวนมากกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติด
รัฐบาลทักษิณบังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ต้องปราบปรามผู้มีรายชื่อในบัญชีดำให้ได้อย่างน้อยถึงร้อยละ 25
พูดง่ายๆ ว่า ต้องตัดยอดบัญชีดำ ทำให้ลดลงอย่างน้อย 25% ภายในเวลา 3 เดือน
กำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลในการตัดยอดคนในบัญชีดำ 3 อย่าง คือ (1) การจับกุมดำเนินคดีจนถึงขั้นอัยการส่งฟ้องศาล (2) การวิสามัญฆาตกรรม และ (3) การที่ผู้มีรายชื่อในบัญชีดำเสียชีวิต ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม
โดยนายกฯ ทักษิณใช้อำนาจ กำชับและข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
ยิ่งกว่านั้น มีการส่งสัญญาณใช้ความรุนแรงนอกระบบอย่างเต็มที่
ประกาศว่า “ถ้าล้มเหลว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดก็คงต้องไปด้วยกัน”
“ท่านต้องใช้ Iron fist หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์เคยกล่าวไว้ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้”
“การทำงานหนักของท่าน 3 เดือนถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
“บางทีถูกยิงตายแล้วต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน”
“ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมี 2 ที่ คือถ้าไม่ไปคุกก็ไปวัด”
“ผมจัดการแน่นอน ไม่เก็บไว้ทำพ่อหรอก ขอให้บอกเบาะแสมา ใครขายยาผมจะหิ้วให้หมด จะส่งไปเยี่ยมยมบาลให้หมด” ฯลฯ
ปรากฏว่า ภายในช่วงเวลา 3 เดือน มีการ“ทำยอด” ยิงทิ้งคนที่มีชื่อในบัญชีดำ จำนวนมาก!
แม้จะสะใจคนจำนวนไม่น้อยในสังคมขณะนั้น แต่พิสูจน์ชัดแล้วว่า ไม่ได้แก้ปัญหายาเสพติดที่ต้นตอจริงๆ
เหมือนเป็นการฆ่าที่ทำให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมทางการเมือง
เอาภาพว่าเด็ดขาด โดยคนที่ถูกฆ่าไม่ใช่พ่อค้ายารายใหญ่ และไม่ได้จัดการที่ต้นทางยาเสพติดอย่างแท้จริง
3. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ?
รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระ คตน. (ชุดที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน) ระบุว่า เข้าข่ายเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ!
คตน.ชี้ชัดเจนว่า การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ และการนำนโยบายไปปฏิบัติ จนเป็นผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนพลเรือนเป็นจำนวนมากนั้น วางแผนโดยการทำบัญชีข้อมูลบุคคลและสั่งลดจำนวนบุคคลในบัญชีข้อมูลบุคคล เป็นการกระทำตามนโยบายที่รัฐวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเกิดการฆาตกรรมอย่างเป็นระบบในวงกว้าง นับเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติอย่างชัดเจน
ผู้กำหนดนโยบายดังกล่าว น่าจะเป็นผู้กระทำความผิดในความผิดฐาน “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” หรือ “Crimes against humanity” อันเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ ตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
รายงานของ คตน. ระบุว่า มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น 2,604 คดี มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2,873 คน
แยกออกเป็นคดีฆาตกรรม 2,559 คดี มีผู้เสียชีวิต 2,819 คน
ในจำนวนนี้ เป็นคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,187 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต1,370 คน
เป็นคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 834 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 878 คน
และเป็นคดีฆาตกรรมที่ไม่ทราบสาเหตุการตาย 538 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 571 คน
คตน.ระบุว่า คดีวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นทั้งสิ้น 45 คดี มีผู้เสียชีวิต 54 คน โดยในจำนวนนี้เป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 35 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 41 คน และเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้ตายไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 2 คดี โดยมีผู้เสียชีวิต 2 คน และเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ไม่ทราบสาเหตุการตายจำนวน 8 คดี มีผู้เสียชีวิต 11 คน
รายงานของ คตน. ระบุด้วยว่า ในกรณีคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,187 คดีนั้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 29 คดี ทราบตัวแต่จับกุมไม่ได้ 47 คดี อยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด 1,111 คดี
4.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในยุคนั้น ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงครามปราบปรามยาเสพติด จำนวนกว่า 299 ราย
บางราย มีชื่อในบัญชีหรือถูกกล่าวหาหรือถูกเรียกไปรายงานตัวว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งๆ ที่ไม่มีพฤติกรรม
บางราย ญาติถูกฆาตกรรม ญาติเชื่อว่าเกิดจากนโยบายปราบยาเสพติด
บางราย ถูกตำรวจยัดยาบ้าแล้วดำเนินคดี หรือถูกดำเนินคดีโดยมิชอบ ฯลฯ
บางกรณี ญาติร้องเรียนว่าคนในครอบครัวถูกเจ้าหน้าที่ฆาตกรรม มีหลักฐานว่าหลายกรณีพวกเขาไม่ได้มีอาวุธ ไม่ได้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แต่ประการใด
กสม. ตั้งขอสังเกตว่า บุคคลซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อของรัฐนั้น ส่วนใหญ่มาจากการประชุมประชาคมหมู่บ้าน จึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความขัดแย้งกันมาก่อน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องการเมืองท้องถิ่น กลั่นแกล้งกันได้ ส่วนใหญ่คนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อยังประกอบด้วยบุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (โดยเฉพาะชาวเขา) บุคคลที่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด บุคคลที่มีฐานะไม่ค่อยดีแต่กลับมีเงินทุนในการประกอบกิจการ บุคคลที่เคยร้องเรียนหรือมีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และบุคคลที่เป็นฐานเสียงหรือหัวคะแนนพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลในขณะนั้น หรืออาจมีญาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แล้วถูกเหมารวมว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย
5.อย่างไรก็ตาม ไม่มีการดำเนินคดีอะไรกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยมิได้ลงนามเข้าร่วม ICC
ประการสำคัญกว่านั้น คือ ในยุคนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ มีความสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีสหรัฐในยุคนั้น เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายเรื่องในสมัยรัฐบาลทักษิณ อาทิ ตากใบ ฯลฯ แต่สหรัฐก็เหมือนมองไม่เห็น รวมถึง ICC ที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกา
และไทยก็ไม่ได้เข้าร่วม ICC
6.การเมืองในฟิลิปปินส์ และการเมืองระหว่างประเทศ
อดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เต นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ช่วงปี 2016-2022
จากนั้น ดูเตอร์เตยังสนับสนุนตระกูล “มาร์กอส”ให้มีอำนาจ
โดยเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ เป็นประธานาธิบดี และ ซารา ดูเตอร์เต เป็นรองประธานาธิบดี
ซารามีแผนจะลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในอนาคตด้วยซ้ำ
แต่เมื่อซาราพลาดเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม และประการสำคัญ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หันไปฟื้นสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯ และแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน เกิดความตึงเครียดระหว่างดูเตอร์เตกับประธานาธิบดีจากตระกูลมาร์กอส
การจับกุม “ดูเตอร์เต” จึงมีนัยทางการเมืองภายในประเทศด้วย
7.ปัจจุบัน ประเทศไทย นายกรัฐมนตรี คือ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร
และประเทศไทยไม่ได้ลงนามเข้าร่วม ICC
ด้วยเหตุนี้ ทักษิณ ชินวัตร จึงยังลอยนวล ไม่ต้องถูกดำเนินคดีข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ชะตากรรมของดูเตอร์เต จึงแตกต่างจาก “สทร.” อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี