สหรัฐอเมริกานั้น สทร.ขนานแท้ และเวลานี้ตั้งแต่“โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี และมี “มาร์โก รูบิโอ” เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูคล้ายเหมือนหมาบ้า เที่ยวแยกเขี้ยวยิงฟันอาละวาดข่มขู่ประเทศต่างๆ ไปทั้งโลก
สำหรับประเทศไทยทั้งเหนื่อยและหนักในการรับมือ เพราะอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินไม่ชัดเจน ไม่เพียงแต่มี“มาดามแพทองโพย”ผู้ซึ่งขาด“ภาวะผู้นำ-ขาดวุฒิภาวะ-ขาดความรู้” และไม่รู้จักกาลเทศะใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว การตัดสินใจกดปุ่มสั่งการภายใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรีก็ยังถูก“ทับซ้อน”โดยอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาที่“สทร.”เสือกทุกเรื่อง แต่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาแบบปฏิเสธความรับผิดชอบทุกเรื่อง ประเภทรับ“ชอบ”แต่ไม่รับ“ผิด”
กรณีทางการไทยส่งชาวอุยกูร์จำนวน 40 คน ในสถานภาพผู้หลบหนีเข้าเมืองมานานกว่า 11 ปี กลับประเทศจีนแผ่นดินถิ่นเกิดเมื่อวันนี้ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ประเทศตะวันตกที่อยู่ในอาณัติของสหรัฐอเมริกาจะส่งเสียงคัดค้านต่อต้านประณามไทยเท่านั้น คนไทยในประเทศเราที่มี“ใจเป็นทาส”เมืองขึ้นตะวันตก ยังร้องขานรับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันให้ระงมตามไปด้วย
และไปไกลถึงขนาดที่นายกัณวีร์ สืบแสง สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีราวกับกระบอกเสียงของประเทศตะวันตก ออกมาประโคมข่าวอย่างต่อเนื่องเป็นระบบว่า การส่งกลับชาวอุยกูร์ของทางการไทยไม่ได้ละเมิดแค่มาตรา 13 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2562 เท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่จำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ระดับสั่งการไปจนถึงผู้ทำตามคำสั่งหลายระดับ น่าจะเข้าข่ายผิดมาตราอื่นๆ ในกฎหมายฉบับนี้ด้วย รวมถึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้อคิดเห็นดังกล่าวของนายกัณวีร์ สืบแสง สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับนายโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ซึ่งได้ออกแถลงการณ์เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมหลังจากชาวอุยกูร์ 40 คนถูกส่งกลับไปยังประเทศจีนได้ไม่กี่วัน ว่าไทยได้ละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างชัดเจน
ภายหลังจากนายโวลเกอร์ เติร์ก ออกแถลงการณ์, ปรากฏว่า รัฐสภายุโรป (European Parliament) ก็ได้ประชุมมีมติเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียง 482 ต่อ 57 และงดออกเสียง 68 เสียง ประณามประเทศไทยซ้ำเข้าไปอีก และเรียกร้องให้ทางการไทยยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัย, ผู้ขอลี้ภัย และนักโทษการเมือง กลับไปยังประเทศที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของบุคคลเหล่านี้
พร้อมกันนี้รัฐสภายุโรปก็ยัง“สทร.” คือ“แส่”และ“เสือก”เรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของไทย ที่ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ถือหางและยุยงแกนนำม็อบสามกีบ รวมทั้ง สส.พรรคประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในฐานความผิดมาตรานี้พ่วงเข้ามาด้วย โดยกล่าวหาว่าทางการไทยบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ต่อเยาวชน นักการเมือง และนักกิจกรรมทางการเมือง
สำคัญที่สุด จากการประชุมของรัฐสภายุโรปก่อนจะมีมติดังกล่าว ที่ประชุมได้ถกกันว่า การกระทำของทางการไทยในกรณีส่งกลับ 40 ชาวอุยกูร์ ถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยเน้นย้ำว่าผลลัพธ์ของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีนั้น มีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงการเคารพประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศภาคีด้วย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็น“สายเหยี่ยว”ที่ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับจีนตั้งแต่เป็นวุฒิสมาชิกรัฐฟลอริดา และมีหน้าที่ในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศของวุฒิสภา ก่อนจะมาร่วมหอลงโลงกับทรัมป์ ได้“ประกาศนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่า” คือจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ทั้งปัจจุบันและในอดีต ที่มีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม กับกระบวนการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังจีน
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบานามว่า“รูบิโอ”วัย 53 ปีผู้นี้ ซึ่งบิดามารดาของเขาเป็นชาวคิวบาที่อพยพจากคิวบามาตั้งรกรากในสหรัฐฯ และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวทั้งต่อจีนและอิหร่าน โดยเห็นว่าจีนคือ "ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าที่สุดที่อเมริกาเคยเผชิญมา" และเรียกอิหร่านว่าเป็นระบอบการปกครอง "ผู้ก่อการร้าย", กล่าวถึงนโยบายจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ทั้งปัจจุบันและในอดีตว่า :-
“ผมปฏิบัติตามนโยบายนี้โดยทันที ด้วยการดำเนินขั้นตอนเพื่อกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่ากับเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันและในอดีต ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์ 40 คน ออกจากประเทศไทยในวันที่ 27 กุมภาพันธ์"
จะอย่างไรก็ตามแต่ แม้ว่าประเทศไทยจะนั่งยันนอนยันว่า การส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับแผ่นดินจีนถิ่นเกิด เป็นการตัดสินใจบนหลักการมนุษยธรรม ที่ไม่ปรารถนาจะให้ชาวอุยกูร์เหล่านี้ต้องถูกขังจนตายคาคุกในประเทศไทย อีกทั้งประเทศจีนก็ได้มีหนังสือให้คำรับรองอย่างเป็นทางการต่อสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์ และเมื่อส่งกลับไปแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยยังได้ติดตามไปดูความเป็นอยู่ถึงประเทศจีนเพื่อให้เห็นกับตาแล้วก็ตาม แต่ฝ่ายที่จะหาเรื่อง ก็ยังหาเรื่องต่อไปไม่ยอมหยุด
ที่สุดแล้วแม้สหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่“พ่อของไทย” แต่การที่ประเทศเรามีผู้นำรัฐบาลอย่าง“มาดามแพทองโพย” อะไรๆ มันก็น่าวิตกไปหมด ว่าไทยจะรับมือกับแรงกดดันจากทั้งจากประเทศสหรัฐฯและประเทศบริวารในอาณัติ ซึ่งจะถาโถมเข้ามาเป็นระลอกนับจากนี้ไปได้หรือไม่ และลำดับแรกคนไทยส่วนใหญ่อยากเห็นรัฐบาลไทย ลุกขึ้นมารักษาและปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศเราเอง ด้วยการตอบโต้สหรัฐฯโดยใช้มาตรการเดียวกับที่สหรัฐฯประกาศใช้กับเรา
ครั้งหนึ่งในอดีตเมื่อปี 2547 สมัย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีเคยกล่าวว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” จากการถูกยูเอ็นขอเข้ามาตรวจสอบเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แต่ในปี พ.ศ.นึ้ประชาชนคนไทยที่เป็นวิญญูชน อยากได้ยินเสียงตะโกนของ“มาดามแพทองโพย” เหมือนเช่นที่เคยแหกปากส่งเสียงบนเวทีปราศรัยว่าคนไทยจะ“มีกิน-มีใช้-มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี”ในช่วงเลือกตั้งว่า
“อเมริกาไม่ใช่พ่อ”(โว้ย) !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี