เมื่อวานวันที่ 17 มีนาคม อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เสือกทุกเรื่อง เรียกสั้นๆ ตามอักษรย่อว่า “สทร.” เดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก พบปะมวลชนคนเสื้อแดงภาคเหนือตอนล่าง เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในงานเรื่องเล่า“ประสบการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมวลชน”
โดยมีตัวแทนมวลชนคนเสื้อแดงฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยจากจังหวัดพิษณุโลก, สุโขทัย, พิจิตร, อุตรดิตถ์, กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์ และอุทัยธานี ทยอยเดินทางเข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก ณ หอประชุมอนุสรณ์ 100 ปี มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
ก่อนพิธีกรรมจะเริ่มในช่วงบ่ายที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จะขึ้นกล่าวบนเวทีนั้น ในช่วงเช้า มวลชนคนเสื้อแดงได้ร่วมรับประทานอาหารที่จัดโต๊ะจีนไว้ 180 โต๊ะ สำหรับการรองรับตัวแทนมวลชนคนเสื้อแดงทั้งหมด 1,200 คน โดยป้ายบนเวทีที่ขึงไว้เป็นฉากหลัง เขียนว่า“ยินดีต้อนรับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 พบปะมวลชนคนเสื้อแดง ภาคเหนือตอนล่าง” พร้อมกับมีการจัดวางสแตนดี้รูปของทักษิณติดตั้งบอร์ด ให้มวลชนเขียนข้อความแสดงความรู้สึกที่มีต่อดีตนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองผู้นี้
อีกทั้ง ยังมีการแจกธงที่มีข้อความ“เรารักทักษิณ”ให้แก่มวลชนที่เป็นตัวแทนจากจังหวัดภาคเหนือตอนล่างที่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ซึ่งสวมเสื้อแดงสกรีนข้อความต่างๆ อาทิ ครอบครัวเพื่อไทย, บ้านหลังใหญ่, หัวใจเดียวกัน และเรารักทักษิณ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ยังได้มีการเตรียมป้ายข้อความต้อนรับ“ทักษิณ ชินวัตร”ไว้อีกด้วย เช่นว่า “17 ปีที่รอคอยท่านรัฐบุรุษความหวังของคนไทย” ฯลฯ
กิจกรรมของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ พูดอย่างเข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ก็คือ เป็นการตรวจพลมวลชนคนเสื้อแดง ของแม่ทัพใหญ่ที่ระเห็จหนีคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างแดนกว่า 15 ปี เหมือนเป็นการกลับมารวบรวมไพร่พลที่แตกฉานซ่านเซ็นอีกครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในครั้งต่อไปนับจากนี้ เพราะสถานการณ์ทางการเมืองนับจากนี้ไป ไม่มีอะไรที่แน่นอนทั้งนั้น ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร”ได้ออกตัวว่า “ไม่ได้เป็นการปลุกกระแสคนเสื้อแดงให้กลับมา และไม่ได้เป็นการปลุกให้เกิดความขัดแย้งในประเทศอย่างแน่นอน มีแต่จะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้มากที่สุด"
ขณะเดียวกันในการกล่าวบนเวทีนั้น “ทักษิณ ชินวัตร”ก็ยังแสดงตนเหมือนนายกรัฐมนตรีตัวจริงและคุยโม้โอ้อวดเช่นเดิม โดยกล่าวว่า “ไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ก็คิดถึงเรื่องของประชาชน และประเทศ..ผมเป็นคนกตัญญู พอประชาชนไม่ลืม เราก็คิดว่าประชาชนลำบากจะช่วยอย่างไร และผมจะไปพบปะพี่น้องและจะใช้เวลามากขึ้น เพื่อให้รู้จริงถึงปัญหา เพราะถ้ารู้ไม่จริงก็แก้ไม่ถูก ถ้ารู้จริงปัญหาก็จะแก้ได้ วันนี้ต้องการเห็นข้าราชการทุกกระทรวง คนไทยทุกหมู่เหล่ายึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก..บ้านเมืองของเรามีศักยภาพแต่เราขาดความสามัคคีนานไปหน่อย”
การกล่าวบนเวทีของ“ทักษิณ ชินวัตร”ครั้งนี้ ยังกระทบชิ่งไปถึงรัฐบาลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า“ใครเป็นพวกผมก็ลำบากหน่อย ที่ผ่านมาพวกผมที่ยอมลำบากและไม่ทิ้งผมก็ยังมีจำนวนมาก เพราะฉะนั้น วันนี้ผมพร้อมที่จะเอาโอกาสดีๆ ให้คนไทยกลับขึ้นมา ขอเวลานิดหนึ่ง ผมขอเวลาอีกไม่นาน ไม่ต้องรอถึง 9 ปี จำได้ไหมขอเวลาอีกไม่นาน ไม่ต้องถึง 9 ปีแน่นอน อย่างมากอีกสมัยเดียวเพื่อไทยแก้ปัญหาได้หมด แต่ถ้าอีก 2 ปีที่เหลือรับรองว่าเบาบางแน่นอน"
ในประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านระบุชื่อไว้ในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น “ทักษิณ ชินวัตร”กล่าวว่า “อยู่ๆ การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็อภิปรายนายกฯคนเดียว ก็ดีเหมือนกัน แต่อภิปราย สทร.ทีแรกจะใช้ชื่อทักษิณ ซึ่งผิดกติกา พอผมไปพูด ตำแหน่งผมคือ สทร.ก็เลยเอาตรงนี้ไป เข้าใจว่าจะใช้แบบนี้ แต่ในสายตาคนที่รักผม สทร.ไม่ได้แปลว่า ‘เสือกทุกเรื่อง’ แต่แปลว่า ‘สุดที่รัก’ ขอให้คิดว่าเป็นสุดที่รักเยอะหน่อยก็แล้วกัน ผมอยากทำงานให้ประชาชน เลยขอเสือกทุกเรื่อง แต่ว่าเสือกแล้วทำงานได้ดี ก็ขอให้เป็นที่รักของประชาชนก็แล้วกัน”
ส่วนการเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้านนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคมวานนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจฉบับแก้ไขต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขีดฆ่าชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร” และคำว่า“ผู้เป็นบิดา”ออก และได้เปลี่ยนเป็น“บุคคลในครอบครัว”แทน
ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาชนมั่นใจว่า ไม่มี“ข้อสอบรั่ว”อย่างแน่นอน พร้อมทั้งยังได้กล่าวว่า“สิ่งที่เราต้องการ คือให้รัฐบาลเตรียมตัวตอบข้อซักถามของเราให้ได้” นั่นก็หมายความว่า“มาดามแพทองโพย”ผู้ถูก“ล็อคเป้า”อภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ต้องทำการบ้านอย่างหนักด้วยตนเอง จะไม่มี“ข้อสอบรั่ว”เหมือนข่าวครึกโครมเรื่อง“การโกงข้อสอบเอ็นทรานซ์”ในปี 2547 สมัยที่“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดาเป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฉบับแก้ไขที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้ยื่นเสนอต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รอบสองนี้ จากที่แก้ไขคำว่า“ทักษิณ ชินวัตร” และคำว่า “บิดา” รวมทั้งหมด 3 จุด โดยการขีดฆ่าจากต้นฉบับญัตติเดิม แทนที่จะพิมพ์ขึ้นมาใหม่นั้น มีประเด็นที่น่าพิจารณาอยู่สองประการ
ประการหนึ่งเป็นการแสดงสัญลักษณ์ที่พรรคสีส้มถนัด เพื่อสะท้อนให้เห็นและบันทึกไว้เป็นหลักฐานในวันหน้า ว่ามีการแทรกแซงและถูกจำกัดเสรีภาพโดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่มีสัมพันธ์โยงใยกับ“ทักษิณ ชินวัตร”มาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีต เหมือนเป็นการรับงานพรรคเพื่อไทยและทักษิณให้ลบชื่อทักษิณออกจากญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยทิ้งร่องรอยให้เป็นประจักษ์พยานไว้ในต้นฉบับญัตติร่างเดิม
อีกประการหนึ่ง แสดงความ“หยาบ”ของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักการเมืองในยุคสมัยของความหยาบกระด้าง แบบมักง่ายชนิดสุกเอาเผากิน ซึ่งมีพฤติกรรมประเภท“แดกด่วน” เหมือนกินอาหารฟาสต์ฟู้ดและสูบบุหรี่ไฟฟ้า คืออะไรก็ได้ที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของหลักการประชาธิปไตย ในการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหาร เท่ากับลดระดับความสำคัญลงไปโดยปริยาย เพราะเรื่องใหญ่อันเป็นหัวใจของการบริหารราชการแผ่นดินยัง“หยาบ”กันได้ถึงเพียงนี้ แล้วจะไปหวังอะไรกับเนื้อหาในการอภิปรายครั้งนี้ของ สส.จากพรรคประชาชน
หรือถ้าหากเป็นอย่างที่พรรคประชาชนโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก“พรรคประชาชน - People's Party” เมื่อวันที่ 17 มีนาคมวานนี้ โดยโพสต์ข้อความระบุว่า“ดีลแลกประเทศ” ซึ่งถ้าทำได้จริงก็จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่เฝ้าชมการถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้หูตาสว่างขึ้น
เนื้อหาในเฟซบุ๊กของพรรคประชาชน มีการโฆษณาโหมโรงไว้อย่างนี้ “เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ เมื่อช้างสารดีลกัน ประชาชนก็แหลกลาญ 18 เดือนภายใต้รัฐบาลที่ดีลกันบนผลประโยชน์ของชนชั้นนำ เหยียบย่ำเสียงของประชาชน คนไทยต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ เพื่อให้คนบางคนได้กลับบ้าน ประเทศเสียหายไปแค่ไหน เพื่อให้ แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี”
และอีกสองย่อหน้าตามนี้
“ดิจิทัลวอลเล็ตกลายพันธุ์จนจำรูปร่างเดิมไม่ได้ แจกจ่ายไม่ทั่วถึง เศรษฐกิจโตต่ำรั้งท้ายอาเซียน คนไทยตกงานนับแสน ค่าครองชีพสูง ค่าแรงไม่ขึ้นตามสัญญา กองทัพกลายเป็น‘เขตทหาร ห้ามเข้า’ รัฐบาลพลเรือนแตะต้องไม่ได้ ปฏิรูปกองทัพเป็นเพียงลมปาก แก้รัฐธรรมนูญไร้ความคืบหน้า นักโทษการเมืองติดคุกไม่ได้ประกัน ประเทศไทยถูกประณามเป็นที่อับอายในเวทีโลก”
“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของพรรคประชาชน เปิดทุกดีลลับ คิดบัญชีทุกความสูญเสีย เปิดทุกแผลที่ถูกหมกเม็ด ของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 24 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป”
จะอย่างไรก็ตาม ถึงวันอภิปรายจริง การประท้วงของ สส.ในซีกพรรคเพื่อไทยเพื่อปกป้อง“คุณหนูนายน้อย” และ“นายใหญ่”เจ้าของคอก คงจะมีไม่จบไม่สิ้น เป็นต้นว่า ในญัตติเดิมเขียนว่า “เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง บิดา ครอบครัว” ญัตติที่แก้ไขใหม่ลบคำว่า“บิดา”ออกโดยการขีดฆ่า ซึ่งฝ่ายค้านจะอภิปรายว่าอย่างไร หรือว่าร้องเพลง“ผู้ชายคนนั้นที่คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์ให้เขา”ประกอบการอภิปราย
หรืออีกประเด็นหนึ่งจากญัตติเดิมที่ว่า “สมัครใจยินยอมให้ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย” ซึ่งได้ขีดฆ่าลบคำว่า“ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา”ออก ตรงนี้ฝ่ายค้านจะขมวดว่าอย่างไร
ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายว่า“สมัครใจยินยอมให้คนที่เสือกทุกเรื่องชี้นำ ชักใย” แค่นี้ สส.พรรคเพื่อไทยที่ถูกวางตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์“เจ้าของคอก” ก็คงยกมือประท้วงกันให้วุ่น
เชื่อว่า สส.พรรคเพื่อไทยไม่น่าจะยอมให้ฝ่ายค้านอภิปรายได้อย่างเสรีแน่นอน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี