นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) สู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เรียกว่า Constitutional Monarchy สังคมไทยมีวิธีการให้ได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรี 2 วิธีการด้วยกันคือ
1. ผ่านการปฏิวัติรัฐประหาร (Coupd’etat) และ
2. ผ่านระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง (Parliamentary Democracy)
ซึ่งโดยทั่วไปจัดได้ว่าคุณภาพของรัฐมนตรีที่มาจากผลของการปฏิวัติรัฐประหาร กลับมักจะมีภาษี มีฝีมือที่เหนือกว่ารัฐมนตรีที่มาจากระบบรัฐสภาซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริง
สังคมไทยได้ตระหนัก และทราบกันมาโดยตลอดว่า นอกจากคุณภาพของรัฐมนตรีจากระบบรัฐสภาประชาธิปไตยนั้นต่ำต้อยในขีดความสามารถ แถมยังแฝงไว้ซึ่งการหาประโยชน์โดยมิชอบเข้าตนนั้นมีผลในเชิงลบอย่างมากมายมหาศาลต่อการบริหารประเทศชาติ และทำให้ประเทศชาติไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร บ้างก็ถึงขนาดหยุดนิ่งอยู่กับที่ และที่ร้ายกว่าก็คือมีความถดถอย ล้าหลัง และล้าสมัย เป็นที่น่าแคลงใจและดูถูกดูแคลนจากประชาคมโลก
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ การได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีในกรอบรัฐสภาประชาธิปไตย ที่มีต้นกำเนิดจากบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายนั้นเป็นเพราะด้วยระบบอุปถัมภ์ ระบบต่างตอบแทน และระบบเส้นสาย โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ ทั้งฝีไม้ลายมือ ประสบการณ์ของการทำอาชีพ และคุณงามความดีทั้งในทางส่วนตัวและในที่แจ้ง การนี้สังคมไทยจึงได้แต่ประสบพบเห็นกับ
สภาพการณ์ที่ว่า ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมักจะเป็นบุคคลที่มาจากเครือญาติมิตรสหาย ผู้ทรงอิทธิพลในเชิงสีเทา และผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อผู้ทรงอำนาจทั้งในพรรคการเมืองที่มักจะมีทุนทรัพย์และมีเครือข่ายเข้าไปในแวดวงราชการต่างๆ
วันนี้สังคมไทยเราจึงได้เห็นนายกรัฐมนตรีที่มีประวัติความใสสะอาดด้านวุฒิการศึกษาที่ค่อนข้างคลุมเครือ มีเงินทองมากมายโดยไม่ต้องลงเรี่ยวลงแรง หรือใช้สติปัญญาความสามารถแต่อย่างใด อีกทั้งไม่มีประสบการณ์การทำงานที่ต้องตรากตรำ เพียรพยายาม และต่อสู้กับชีวิตอย่างแท้จริง ส่วนบรรดารัฐมนตรีอื่นๆ นั้นเมื่อสืบประวัติเข้าไปแล้ว ก็มักจะเป็นพวกสมุน หรือข้าทาสที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่สามารถที่จะแสดงความเป็นตัวตนออกมาได้ ส่วนอีกหลายๆ คนก็มาจากเครือข่ายวงศาคณาญาติ และเครือข่ายผู้ร่วมอุดมการณ์อำนาจนิยมกันทั้งนั้น
ในการนี้การบริหารราชการบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องที่ความอยู่ดีกินดี และผลประโยชน์ของประชาชนพลเมืองมิได้มาก่อนหรือเป็นที่ตั้ง แต่สิ่งที่มาก่อนก็คือการรักษาและคงอำนาจ การขยายอิทธิพลและอำนาจ และการหาประโยชน์เข้าตนในทำนอง “พวกฉันก่อน แล้วประชาชนพลเมืองทีหลัง” (Not the people first but we the powerful and the power must come first)
ในสภาพการณ์นี้ สังคมไทยเราจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จำต้องคิดอ่านแก้ไข ปรับปรุง เพื่อสังคมไทยจะให้ได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีที่มีคุณภาพและอุทิศตนเพื่อประโยชน์และความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง รวมทั้งระบอบประชาธิปไตย และความสง่างาม ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์ศรี ของราชอาณาจักรไทย
โดยวิธีการใหม่ๆ ของการได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีอาจมีให้เลือกดังนี้
1. ให้ยกเลิกการได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรี
ผ่านระบบรัฐสภา หรือนัยหนึ่งให้แยกฝ่ายรัฐสภาหรือนิติบัญญัติออกจากการได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหารอย่างเด็ดขาด
2. โดย :
2.1 ให้แต่ละพรรคการเมืองเสนอรายชื่อชุดคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ประชาชนพลเมืองลงคะแนนเลือก
2.2 ทูลเกล้าฯเพื่อทรงวินิจฉัยแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหารายชื่อผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้าดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
- เปิดโอกาสให้มีการเสนอชื่อตัวเองได้ นอกเหนือจากเสนอโดยพรรคการเมือง
- เมื่อได้รายชื่อจำนวนหนึ่งแล้วก็ให้มีการเข้ารับการฝึกอบรมในเรื่องประวัติศาสตร์
ในเรื่องอุดมการณ์การเมืองเปรียบเทียบและในเรื่องประชาธิปไตยในรูปแบบต่างๆ
- มีระบบการทดสอบเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ องค์ความรู้และขีดความสามารถที่ประชาชนพลเมืองเข้าร่วมรับฟังโดยตรงหรือผ่านสื่อต่างๆ ได้
- มีการคัดกรองโดยคณะกรรมการสรรหาดังกล่าว เพื่อนำรายชื่อจำนวนหนึ่งขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เพื่อทรงวินิจฉัย เพื่อให้ได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ประชาชนพลเมืองก็อาจจะมีส่วนร่วมในการออกเสียงลงคะแนนผ่านสื่อสมัยใหม่ ในทำนองเดียวกับที่มีการประกวดการขับร้องและการแข่งขันอื่นๆ
- การนี้ทั้งฝ่ายรัฐสภาและฝ่ายคณะรัฐมนตรีต่างมีวาระที่แน่นอน (Fixed Term)
ทั้งนี้การถูกถอดถอนก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความประพฤติที่มิชอบ ทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นและการบ่อนทำลายสังคมประชาธิปไตย และประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย
3. ความคิดอ่านเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครอง ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกรวมทั้งราชอาณาจักรไทย ได้รับอิทธิพลมาจากฝ่ายยุโรปตะวันตก ซึ่งแต่ละประเทศก็ต้องรับเข้ามา แล้วมาผสมผสานกับประเพณีและความนึกคิดและหลักปฏิบัติของสังคมของประเทศของตน สำหรับราชอาณาจักรไทยเรามีหลักธรรมและหลักทศพิธราชธรรม เป็นจิตวิญญาณ เป็นตัวกำกับ และนำทิศทางให้กับการอยู่ร่วมกัน และโดยเฉพาะการพึงต้องปฏิบัติของผู้ปกครองบ้านเมือง หรือผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากประชาชนพลเมือง แต่สังคมไทยได้ลืมเลือนในเรื่องธรรมะนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะกลับมาทบทวนและนำมาใช้ให้เหมาะสมกับโครงสร้าง และสาระเนื้อหาของการเป็นสังคมประชาธิปไตย
ข้อคิดต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นเป็นแค่ ความคิดตัวอย่างคร่าวๆ จากบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งย่อมจะยังขาดตกบกพร่อง จำเป็นที่จะต้องมีการระดมความคิดกันจากสังคมไทยให้มากที่สุด
ก็ใคร่ขอเชิญชวนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือนำไปถกเถียงในเวทีสาธารณะ เพื่อเราจะได้มีคณะรัฐมนตรีที่มีคุณภาพและมีคุณธรรม แล้วลูกหลานของเราจะได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยแห่งธรรมะกันเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี